วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูลในตำนาน

หากจะกล่าวถึงกีฬาที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันแล้ว ฟุตบอลจัดเป็นชนิดกีฬาที่มีแฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุดในโลก ดังปรากฎการณ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลในทุกระดับ ตั้งแต่ฟุตบอลนักเรียน ฟุตบอลลีกภายในประเทศ ไปจนถึงการแข่งขันฟุตบอลระดับชาติ ระดับทวีปหรือระดับโลก ผู้คนต่างคลั่งไคล้ฟุตบอลกันชนิด “เข้าเส้น” ( soccer is my life ) และได้ติดตามเชียร์ทีมโปรดของตนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม
สำหรับผมแล้ว “ลิเวอร์พูล”? คือ ทีมที่ผมติดตามเชียร์เสมอมา มันไม่ใช่เพราะในปีที่ผมเกิด ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปหรือลิเวอร์พูลมีตำนานนักเตะมากมายที่ทำให้ผมชอบลิเวอร์พูล มันอธิบายได้ยากว่าทำไมคน? ๆ หนึ่ง จะชื่นชอบทีมใดทีมหนึ่งอย่างจริงจัง แต่ผมอยากจะบอกว่าเมื่อผมได้ดูการเล่นของลิเวอร์พูลแล้วผมหลงรักมัน… รักจิตวิญญาณความเป็นลิเวอร์พูล เหมือนที่เราตกหลุมรักผู้หญิงสักคนนั้นแหละครับ
ผมเชื่อว่าเคยมีบทความที่กล่าวถึงทีมลิเวอร์พูลมากมายอยู่แล้ว ซึ่งคงไม่มีประโยชน์อะไรมากนักที่ผมจะกล่าวถึงแง่มุมเหล่านั้นซ้ำอีก คุณครับ! วันนี้ผมอยากจะเสนอลิเวอร์พูลในบางมุม-บางช่วง ที่ลิเวอร์พูลห่างหายจากการคว้าแชมป์ลีกในประเทศอังกฤษ ซึ่งมันทำให้เราไม่มีโอกาสเห็นลิเวอร์พูลในเวทีใหญ่ของยุโรป ซึ่งเป็นช่วงขาลงของทีมจนแฟนบอลลิเวอร์พูลอาจไม่อยากกล่าวถึงมันมากนัก
เอาละครับ ผมจะเข้าเรื่องสักที….
ลิเวอร์พูลในยุคทศวรรษปี 90? ถึงยุคก่อนราฟาเอล เบนิเตส เข้ามาคุมทีม คือ ลิเวอร์พูลยุคที่ผมกำลังเขียนถึง และสำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลที่เคยติดตามผลงานของทีมในช่วงนั้นแล้ว ก็คงไม่มีใครลืมภาพของผู้จัดการทีมอย่าง ป๋ารอย ( รอย อีแวนส์ ) หรือเฮียโปน ( เชราร์ด อุลลิเยร์ ) และบรรดานักเตะที่พาเหรดเข้ามาสร้างความครื้นเครงให้สโมสรแถบเมอร์ซีย์ไซด์แห่งนี้ลงได้หรอกครับ
คุณบางคนอาจกำลังคิดว่าต่อไปผมต้องเขียนถึงบรรดานักเตะอย่าง รอบบี้ ฟาวเลอร์ , ไมเคิล โอเวน , สตีฟ แมคมานามาน , เจมี คาร์ราเกอร์ หรือ สตีเวน เจอร์ราด แน่ ๆ …. โน้ โน้ โน… ใครที่คิดแบบนั้นกำลังเข้าใจผิดอย่างแรงเลยครับ เพราะสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนคือ “ลิเวอร์พูลในตำนาน” ในมุมที่ยังไม่มีใครเขียนถึงยังไงล่ะครับ
ทีมลิเวอร์พูลในตำนานของผมนั้น มีนักเตะและผู้จัดการทีมดังนี้ครับ…..

1. ผู้รักษาประตู : เดวิด เจมส์
เขาคือเบอร์ 1? ในทีมชาติอังกฤษยุคปัจจุบัน แต่ถ้ายุคนั้นละก็….. บรึ๋ยส์…… เป็นยุคที่พี่เจมส์เขาชอบทานแต่ข้าวมันไก่ ไม่ชอบทานข้าวเหนียวนึ่ง ฟอร์มการเล่นของพี่ท่านจึงห่างไกลจากฟอร์มเหนียวหนึบ แต่กลับมีอาการ “วืด” และ “จั่วลม”? บ่อยครั้งที่ออกมาตัดลูกกลางอากาศ เป็นผลให้เดอะคอปส์ขนลุกซู่ทุกครั้ง ถ้าใครเคยเล่นเกมส์ CM? ( Champion Manager ) ในยุคนั้นแล้วเลือกคุมทีม Liverpool ก็คงจะตื่นเต้นกับตัวอักษรวิ่งขึ้นมา? But James…. บ่อยครั้ง แน่นอนครับ หวังว่าอาการเฟอะฟะของพี่แกตอนนี้คงจะดีขึ้นแล้วนา ผมยังเชียร์อังกฤษอยู่นะครับ

2. แบ็คขวา : บียอน ทอเร่ ควาร์เม่
ฟูลแบ๊คนำเข้า ชาวนอร์วีเจี้ยนผู้นี้ เป็นสูตรสำเร็จแห่งความครื้นเครงของแบ็คโฟร์ในตำนานของผมครับ การที่ลิเวอร์พูลได้พี่แกมายืนตำแหน่งนี้แทน เจสัน แมคเคเทียร์ ทำให้ความอบอุ่นในใจของผมลดลงทุกครั้ง เมื่อพี่ท่านต้องเจอกับ โรแบร์ ปิเรส ( Arsenal ) หรือ ไรอัน กิ๊กส์ ( Man U )? ใครเคยดู ” There will be blood ” ก็คงทราบว่า เมื่อเจอ ” บ่อน้ำมัน ” เขาจะทำกันอย่างไรครับ

3. แบ็คซ้าย : ฟิล บาบ์ปส์
ที่จริงตำแหน่งของพี่เขาคือ เซ็นเตอร์แบ็ค ( ปราการหลังตัวกลาง ) ครับ แต่บางทีป๋ารอย จับพี่เขามาเล่นตำแหน่งนี้ถือว่าสุดยอดครับ เพราะพี่บ๊าบเขามักจะได้คะแนนการจ่ายบอลให้ทำประตู ( Asist ) เสมอ แต่เป็นการจ่ายให้ผู้เล่นทีมตรงกันข้ามหลุดเข้าไปดวลกับเจมส์ นายทวารอมตะของเราไงละครับ บาบ์ปส์จึงเหมือนเป็นกองหน้าตัวที่สามให้กับอีกทีม อย่างนี้พี่แก็สมควรจะได้เงินค่าเหนื่อยจากทีมคู่แข่งสิ ใช่ไหมครับคุณ ?

4. ปราการหลังตัวกลาง : ริโกแบร์ ซง
” The ฉ่าง ” ถือเป็นนักเตะอีกคนที่มีโอกาสเข้ามารับใช้ลิเวอร์พูลในยุค ” คนคู่หงส์ ” เขาถูกขุดมาจากทีม Salernitana ใน Italy ด้วยลีลาการเข้าบอลที่โฉ่งฉ่างและถูกสับขาหลอกเป็นประจำ ไม่น่าแปลกใจที่กลายมาเป็น ” ตัวฮา ” ที่สาวกหงส์ โดนกองเชียร์คู่อริแซวอยู่บอ่ย ๆ ไม่น่าแปลกใจที่กัปตันทีมชาติแคเมอรูนถูกตั้งคำถามว่า ทำไมระยะหลังทีมหมอผีจึงไม่ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ แม้จะมีกองหน้าระดับโลกอย่าง ซามูเอล เอโต อยู่ในทีมก็ตาม

5. ปราการหลังตัวกลาง ฌิมี่ ตราโอเร่
” ไอ้นกกระยางดำ “? คือ ฉายาที่ผมและเพื่อน ๆ ตั้งให้เขา นั้นอาจเป็นเพราะรูปร่างและแข้งขาที่สูงยาวและผอมของเขาก็เป็นได้ เขาเข้ามาร่วมทีมลิเวอร์พูล ด้วยการชักนำของเฮียโปน?แถมเฮียยังโชว์วิสัยทัศน์บอกว่า ฌิมี่ต้องได้เป็นนักเตะระดับโลกแน่นอน แต่จนบัดนี้ผมยังสงสัยอยู่เลยครับว่า เจ้านกกระยางดำของผมบินไปอยู่โลกไหนแล้ว ( เอาน่า อย่างน้อยในชีวิต ฌิมี่ ก็ยังได้ชูเจ้าบิ๊กเอียร์ กับเขาสักครั้งได้เหมือนกัน )

6. กองกลางตรงกลาง : ซาลิฟ ดิเยา
แจ้งเกิดกับทีมชาติเซเนกัลในฟุตบอลโลก 2002? จึงถูกเฮียโปนดึงตัวมาร่วมทีมด้วยความหวังว่าเขาจะมาอุดรูรั่วในแดนกลางตามสไตล์มิดฟิลด์พันธุ์ดุ

7. ปีกซ้าย : แฮร์รี่ คีเวลล์
พ่อมดแฮร์รี่เคยร่ายมนต์ลูกหนังสะกดแฟนบอลสมัยค้าแข้งอยู่กับลีดส์ยูไนเต็ด แต่หลังจากที่ลีดส์แพแตก แฮร์รี่ได้้ย้ายเข้ามาเล่นในแอนฟิลด์ แต่มนต์ของพ่อมดแฮร์รี่นั้นกลับไม่ขลังอีกต่อไป หลังเจออาการบาดเจ็บ และเมื่อกลับมาเล่นอีกครั้งก็พกอาการ ” แหยงตีน ” กลับลงสนามมาด้วย การขาดความมั่นใจอย่างแรง ทำให้ฟอร์มการเล่นของพ่อมด ตกต่ำเหมือนกลายเป็นนักเตะดาด ๆ คนหนึ่ง ( ที่เพียงแต่รับค่าเหนื่อยแพงเท่านั้น ) แอนฟิลด์จึงเหมือนเป็นสุสานฝังนักเตะเช่นแฮร์รี่ ขณะที่แมนยู ฯ ได้นักเตะจากลีดส์ไปก่อนแล้วคนหนึ่งชื่อ ริโอ เฟอร์ดินานด์

8. ปีกขวา? : เอล ฮัดจิ ดิยุฟ
เพล์เมกเกอร์หน้าตาเหมือนปวดขี้ทีมชาติเซเนกัลรายนี้ เคยเป็นเจ้าของตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกา เฮียโปนจึงจัดเข้ามาร่วมทีมพร้อมกับดิเยา มาเป็นคู่ขวัญความหวังใหม่ให้ลิเวอร์พูล แต่คู่ดูโอเซเนกัลกลับไม่ได้มีผลงานที่ซาบซ่านซู่ซ่าน่าติดตามเหมือนกับคู่น้องโฟร์-มด แม้แต่น้อย โดยเฉพาะตัวดิยุฟเองที่เดอะคอปส์ฝากความหวังไว้มากหลังจากหมดยุคของแม๊คมานามาน กลับทำได้เพียงมาวิ่งไล่บอลทางกราบขวาและไม่ได้สร้างสรรค์เกมส์เหมือนอย่างนักเตะระดับเทพควรจะเป็นได้เลย ลิเ้วอร์พูลจึงเหมือนถูกหลอกให้ซื้อของที่ย้อมแมว ( ดำ ๆ ) ขาย จนต้องโล๊ะเขาให้ไปได้ดีกับทีมจอมเซ้งอย่างโบลตันในที่สุด


9. กองหน้า : คาร์ลไฮนซ์ รีดเล่


เจ้าของฉายา ” ฉลามล้อคลื่น” ที่ลิเวอร์พูลเซ้งเข้ามาร่วมทีมในขณะที่เขาย่างเข้าวัย 32 ปี ต้องยอมรับกันจริง ๆ ว่า กองหน้าชาวเยอรมันผู้นี้ผ่านจุดสูงสุดของการเล่นฟุตบอลไปแล้ว ( แถมยังเหมือนหมดไฟที่จะประสบความสำเร็จอีกต่างหาก ) แม้ลิเวอร์พูลจะหวังว่าประสบการณ์ของเขาจะมาประคองทีมไว้ได้บ้าง แต่ความเชื่องช้าที่เหมือนมีกระโปกยักษ์มาขวางท่อนขาเอาไว้ หรือความหนักหนาสาหัสของมันที่ทำให้เขากระโดดโหม่งไม่ขึ้นก็สุดจะพรรณาได้ มันได้สร้างคามเบาหวิวอันเหลือทนให้กับเดอะค็อปส์ทั่วโลก คนคู่หงส์ต้องรีบผ่าตัดทีมใหม่หรือไม่ก็รีบผ่าตัดเอา ” ไอ้นั่นออกไปเสียที เพราะทุกคนไม่อาจต้องทนเห็นภาพของ ” ควายล้อคลื่น ” ได้อีกจริง ๆ

10. กองหน้าัตัวรับ : อีมิล เฮสกีย์
อย่าเพิ่งงงกับตำแหน่งการเล่นของกองหน้าคนนี้นะครับ ตำแหน่งกองหน้าตัวรับมีจริง ๆ ครับ เพราะในสมัยเฮียโปนคุมทีมแกได้รังสรรค์ตำแหน่งนี้ขึ้นมาเพื่ออีมิลโดยเฉพาะ เรียกได้ว่า ” โอ้ ลอร่า… เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ “
กองหน้าผู้มีใบหน้าละม้ายกับนักโทษผู้มีพลังวิเศษในเรื่อง The Green Miles รายนี้ ได้สร้างความอึดอัดชนิดลุ้นกันขี้แทบแตกให้กับสาวกหงส์ อีมิลมีช่วงเวลาที่ไม่สามารถทำประตูได้นับสิบนัด แต่นั่นอาจเป็นธรรมชาติของคนที่เกิดมาเพื่อรับบทกองหน้าตัวรับก็ได้ ยังไงเขาก็ได้ซ้อมเกมรับของทีมจนรอดพ้นการเสียประตูอยู่หลายครั้ง เดอะค็อปส์ส่วนใหญ่จึงให้อภัยและไม่มีวันลืมเลือนเขา และบางทีในฤดูกาลหน้า เราอาจเห็นเขากลับมาสวมเสื้อสีแดงเพลิงอีกก็เป็นได้…?? จึ๋ยส์

11. กองหน้า? : อีริค ไมเยอร์
ถือเป็นกองหน้าอีกรายที่เข้ามาโลดแล่นสร้างสีสันในแอนฟิลด์พร้อมกับคาร์ลไฮนซ์ รีดเล่ เป็นที่ทราบกันดีว่าในขณะนั้นกองหน้าดัตซ์รายนี้ คือดาวซัลโวอันดับต้น ๆ ในเวทีบุนเดสลีกา ผมไม่ทราบว่ามันไปเข้าตาของคนคู่หงส์ตอนไหน แต่บางทีลึก ๆ แล้วพวกเขาอาจคาดหมายว่า ” อีริค” สามารถทาบชั้นกับอีกอีริค ( Eric? “The King”? Cantona ) ของอีกค่ายก็เป็นได้ แต่ที่นี่คือพรีเมียร์ลีคอังกฤษ ลีคที่สร้างบททดสอบว่าผู้อยู่รอดเท่านั้นคือ ” ของจริง ” และอีริค ไมเยอร์ คือคนที่ไม่อาจผ่านบททดสอบนั้นได้ เขาถูกจับ ” ดอง ” เป็นศูนย์หน้าม้ายาวอยู่นานมาก แต่เมื่อได้รับโอกาสแสดงฝีเท้า เขาเหมือนกลายเป็นตัีวอะไรที่มาเล็มหญ้าบนสนามแอนฟิลด์-เหมือนเด็กอ่อนหัดที่เพิ่งหัดเล่นฟุตบอลใหม่ ๆ จนผมเชื่อว่าเดอะค็อปท์ในสนามอยากจะขอเปลี่ยนตัวเขาแล้วลงไปเตะเองเสียก่อนที่เมื่อเกมส์จบแล้ว ” ขี้ ” จะเกลื่อนสนาม?????? นั่นแหละครับ??? เขา …………?? Eric ” The Kway”
ที่มา http://www.herothailand.com/blog/archives/43

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น