วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554
ประวัติผู้จัดการทีม ปัจจุบัน
หลังจากเหตุการณ์ "เฮย์เซล สเตเดียม" ในปี 1985 ที่มีแฟนบอลยูเวนตุสเสียชีวิตไปถึง 39 ศพทำให้โจ ฟาแกนตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล, โดยดัลกลิชถูกแต่งให้เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ควบกับตำแหน่งผู้เล่นไปด้วยซึ่งถือว่าเป็นฤดูกาลที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากมายในแอนฟิลด์, ในฤดูกาล 1985/86 ลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีกครั้งโดยมีแต้มมากกว่าทีมเอฟเวอร์ตันเพียง 2 แต้ม (โดยดัลกลิชเป็นคนทำประตูชัยในการพบการเชลซี ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล) ต่อมาดัลกลิชยังพาทีมเอาชนะเอฟเวอร์ตัน 3-1 ในรอบชิงชนะเลิศรายการเอฟเอ คัพได้อีกด้วย
ดัลกลิชสามารถพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งได้ในฤดูกาล 1987/88 โดยเค้าได้เซ็นต์สัญญาคว้าตัวปีเตอร์ เบียดลีย์มาจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดมาเสริมทีมเพียงคนเดียว, โดยในยุคที่ดัลกลิชเป็นผู้จัดการทีมเค้าได้ปรับแต่งทีมลิเวอร์พูลให้เป็นทีมที่มีการเล่นที่น่าดูไม่ว่าจะเป็นในด้านความสวยงาม, ความแข็งแกร่ง และด้านเอ็นเตอร์เทนแฟนบอล โดยดัลกลิชยังได้เซ็นสัญญาคว้าตัวจอห์น อัลดริดจ์จากอ๊อกฟอร์ดมาทดแทนการขาดหายไปของเอียน รัชที่ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส, นอกจากนนั้นดัลกลิชยังจัดการคว้าตัวจอห์น บาร์นส์มาจากวัตฟอร์ดเพื่อเค้ามาประสานงานกับอลัน แฮนเซ่น, รอนนี วีแลน, สตีฟ แม็คมาฮอน, มาร์ค ลอเรนสัน และสตีฟ นิโคล, โดยในฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดีเยี่ยมโดยไม่แพ้ใครในลีก 29 เกมติด โดยชนะ 22 และเสมอ 7 โดยจบฤดูกาลนั้นดัลกลิชพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้ง แต่ลิเวอร์พูลก็ไปแพ้พลิกล็อกต่อวิมเบิลดันในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ
โดยในปี 1989 ดัลกลิชพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้สำเร็จหลังจากเอาชนะเอฟเวอร์ตันในรอบชิงชนะเลิศได้ แต่ก็ต้องผิดหวังในฟุตอบอลลีกเมื่อก่อนจะลงเล่นนัดสุดท้ายลิเวอร์พูลนำอาร์เซน่อลอยู่ 3 แต้มและต้องการผลเสมอเท่านั้นหรือแพ้ไม่เกิน 1 ลูกเป็นอย่างน้อย แต่ประตูของไมเคิล โทมัสที่ยิงให้อาร์เซน่อลชนะ 2-0 ก็ทำให้อาร์เซน่อลเบียดลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกไปครองด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า
ดัลกลิชอยู่ในเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโรด้วย มีแฟนบอลลิเวอร์พูลเสียชีวิตไปถึง 96 ศพในวันที่ 15 เมษายน 1989 ในรายการเอฟเอ คัพรอบรองชนะเลิศที่พบกับน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ โดยดัลกลิชเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ผู้เสียชีวิตทั้ง 96 ศพนั้นจะยังอยู่ในใจของเดอะ คอปและนักฟุตบอลของลิเวอร์พูลไปตลอดกาล" ก่อนที่ดัลกลิชจะประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอย่างกระทันหันเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1991 โดยก่อนที่เค้าจะลาออกเค้าได้นำนักเตะอย่างสตีฟ แม็คมานามานขึ้นจากชุดอคาเดมีมาเล่นในชุดใหญ่ และยังได้ซื้อตัวเจมี เรดแนปป์ซึ่งเป็นนักเตะคนสุดท้ายที่เค้าซื้อมา ก่อนที่ต่อมาทั้งคู่จะเป็นนักเตะคนสำคัญของลิเวอร์พูล
สมัยที่ดัลกลิชอยู่กับลิเวอร์พูล (ในฐานะนักเตะ/ผู้จัดการทีม) เค้าคว้าแชมป์ลีกสูงสุดไปครองได้ 8 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย, แชมป์ลีก คัพ 4 สมัย, แชมป์แชร์ริตี้ ชิลด์ 5 สมัย, แชมป์ยูโรเปียน คัพ 3 สมัย, แชมป์ยูโรเปียน ซุปเปอร์ คัพ 1 สมัย
ก่อนที่ดัลกลิชจะกลับมารับงานในตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้งเมื่อเดือนตุลาคม 1991 กับทีมแบล็คเบิร์น โรเวอร์สซึ่งอยู่ในดิวิชั่น 2 (เดอะ แชมเปียนชิพในปัจจุบัน) และเค้าก็พาทีมแบล็คเบิร์นกลับขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้งหลังจากที่เอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในการแข่งขันรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้น และเป็นครั้งแรกที่แบล็คเบิร์นได้กลับมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งหลังจากปี 1966
แจ็ค วอล์คเกอร์ซึ่งเป็นเจ้าของทีมแบล็คเบิร์นได้ให้งบประมาณในการซื้อนักฟุตบอลแก่ดัลกลิชอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้ทีมได้เป็นแชมป์ลีกสูงสุด โดยดัลกลิชจัดการคว้าตัวอลัน เชียร์เรอร์มาจากเซาแธมป์ตันด้วยราคา 3.3 ล้านปอนด์ และเชียร์เรอร์ก็พาแบล็คเบิร์นจบอันดับที่ 4 ในฤดูกาลแรกที่ทีมได้เลื่อนชั้นกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่ฤดูกาลต่อมาดัลกลิชจะซื้อตัวทิม ฟลาเวอร์สและเดวิด แบ๊ตตี้เข้ามาเสริมทีมและพาแบล็คเบิร์นเข้าป้ายในอันดับที่ 2 โดยแชมป์ตกเป็นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ในฤดูกาล 1994/95 ดัลกลิชเซ็นต์สัญญาคว้าตัวคริส ซัตตันด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ซึ่งถือว่าเป็นสถิติของสโมสรเลยทีเดียว (ในสมัยนั้น) เพื่อให้มาเป็นคู่ขาในแดนหน้ากับอลัน เชียร์เรอร์ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่อทั้ง 2 คนจับคู่กันถล่มประตูและทำให้แบล็คเบิร์นเบียดลุ้นแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปจนถึงนัดสุดท้าย ซึ่งนัดสุดท้ายดัลกลิชต้องพาทีมแบล็คเบิร์นไปเยือนลิเวอร์พูลที่สนามแอนฟิลด์ ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องออกไปเยือนเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยก่อนเกมที่แอนฟิลด์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้ให้สัมภาษณ์ว่าเกมที่แอนฟิลด์อาจจะมีการสมยอมกันเพราะว่าดัลกลิชกับลิเวอร์พูลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันและให้เอฟเอจับตาดูให้ดี ซึ่งในเวลา 90 นาทีทั้งคู่เสมอกัน 1-1 แต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเจมี เรดแนปป์ก็ปั่นฟรีคิกให้ลิเวอร์พูลชนะแบล็คเบิร์น 2-1 แต่สิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขันแฟนบอลในสนามทั้งสองทีมกลับโห่ร้องแสดงความยินดีกับดัลกลิชเมื่อทราบข่าวว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่สามารถเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ดได้ ทำให้แบล็คเบิร์นคว้าแชมป์ไปครองโดยมีคะแนนมากกว่าเพียง 1 คะแนน
โดยการคว้าแชมป์ของแบล็คเบิร์นครั้งทำให้ดัลกลิชได้แชมป์ลีกไปครองถึง 9 สมัย โดยดัลกลิชเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 3 ที่สามารถทำทีม 2 ทีมเป็นแชมป์ลีกสูงสุดได้ ต่อจากเฮอร์เบิร์ต ชาปแมน (อาร์เซน่อลและฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์) และ ไบรอัน คลัฟ (ดาร์บี เคาน์ทรีและน็อตติงแฮม ฟอเรสต์)
หลังจากดัลกลิชพาแบล็คเบิร์นเป็นแชมป์ลีกสูงสุด เค้าก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันที่ 25 มิถุนายน 1995 โดยก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งไดเร็กเตอร์ ฟุตบอลโดยเรย์ ฮาร์ฟอร์ดเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ และนั้นก็เป็นจุดที่ทำให้แบล็คเบิร์นทำผลงานได้ตกต่ำมาตลอดจนถึงปัจจุบัน แต่เค้าก็อยู่ในตำแหน่งใหม่นี้ได้ไม่นานก็ลาออกไปโดยให้เหตุผลว่าต้องการพักผ่อนหลังจากเหนื่อยกับเรื่องฟุตบอลมานาน
ในเดือนมิถุนายน 1997 ดัลกลิชกลับเข้ามารับงานในตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้งให้กับทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด โดยเข้ามารับหน้าที่แทนเควิน คีแกน โดยดัลกลิชสามารถพาทีมผ่านรอบคัดเลือกรอบที่ 2 ของศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มได้ แต่ผลงานในลีกไม่สวยงามนักเมื่อทีมจบที่อันดับที่ 13 และแพ้อาร์เซน่อลในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ก่อนที่เค้าจะถูกบอร์ดบริหารของนิวคาสเซิลไล่ออก
ในเดือนมิถุนายน 1999 เค้าเข้ามารับงานในตำแหน่งไดเร็กเตอร์ ฟุตบอลของทีมเซลติก ซึ่งตอนนั้นเค้าดึงจอห์น บาร์นส์เข้ามาเพื่อทำหน้าที่เฮดโค้ช จนทำให้สื่อและแฟนบอลเซลติกวาดฝันว่าทั้งคู่จะทำให้เซลติกกลับมาผงาดอีกครั้ง แต่ด้วยผลงานในสนามที่ไม่ดีนักทำให้บาร์นส์ถูกไล่ออกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2000 โดยในฤดูกาลนั้นเซลติกทำได้เพียงแค่คว้าสก็อตติช ลีก คัพมาครองได้เท่านั้นหลังจากชนะอเบอร์ดีน 2-0 ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค
ที่มา th.wikipedia.org/wiki/เคนนี_ดัลกลิช
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น