วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

10 อันดับเจ้าพ่อลูกนิ่งที่ดีที่สุดในโลก

10. โฮเซ่ หลุยส์ ชิลาเวิร์ต
อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติปารากวัยผู้นี้ คือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพนักฟุตบอลของเขา มันมากกว่าการที่เขาถูกยกย่องให้เป็นตำนานนักเตะของประเทศ แต่ความภาคภูมิใจของเขาคือความกล้าบ้าบิ่นรวมไปถึงพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัว เป็นเรื่องปกติที่เรามักจะเห็นเขาออกมาจากบริเวณปากประตูของตัวเอง ขึ้นมายังปากประตูของคู่แข่งเพื่อรับหน้าที่สังหารลูกฟรีคิกให้กับทีมอยู่เสมอ หลายประตูด้วยกันที่ถูกสร้างสรรค์โดยเท้าซ้ายข้างถนัด จนติดตราตรึงใจกันมานักต่อนักแล้ว และสิ่งที่น่าเหลือเชื่ออีกอย่างที่คุณอาจยังไม่เคยรู้ก็คือ ครั้งหนึ่งเขาเคยทำประตูได้จากระยะกว่าครึ่งสนามในแดนของตนเองมาแล้ว
9. โรแบร์โต้ คาร์ลอส
โรแบร์โต้ คาร์ลอส อดีตแบ็กซ้ายหมายเลขหนึ่งของโลกทีมชาติบราซิล เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีชื่อเสียงด้านการสังหารฟรีคิกอีกคนที่เรารู้จักกันดี คาร์ลอส พยายามหาหนทางพลิกแพลงลูกฟรีคิกจากระยะที่ไกลมาก จนวันหนึ่งเมื่อมันได้ผล มันคือความยอดเยี่ยมหาที่ติไม่ได้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการสังหารฟรีคิกเมื่อปี 1997 ในแมตช์ที่ทีมชาติบราซิล ของเขาพบกับ ฝรั่งเศส จากฟรีคิกระยะร่วม 35 หลา คาร์ลอส บรรจงวางลูกบอลที่จุดเตะ ก่อนที่จะถอยหลังร่วมๆ 10 หลา และวิ่งเข้าไปสับไกด้วยซ้ายอันทรงพลัง บอลหนีกำแพง และกรอบประตูออกไปร่วมๆ 3 หลาบอลทำท่าว่าจะออกหลังแบบไม่ได้ลุ้น แต่สิ่งที่เห็นก็คือมันเหลือเชื่อที่บอลเปลี่ยนทิศทางเลี้ยวกลับเข้าหากรอบประตูกะทั นหันและเข้าประตูไปในที่สุด ชนิดที่ ฟาเบียง บาร์เตซ ไม่ทันได้ขยับตัวด้วยซ้ำ และจากฟรีคิกของ คาร์ลอส ลูกนี้เองมันถูกตั้งชื่อว่า “บานาน่า” คิก ในภายหลัง
8.พอล แกสคอยน์
พอล แกสคอยน์ หรือ “แกสซ่า” คือหนึ่งในผู้เล่นทีมชาติอังกฤษที่มีลีลาการเล่นที่เปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์ชื่อของ “แกสซ่า” ถูกจดบันทึกไว้ในประวัตศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สนามเวมบลีย์ เมื่อปี 1991 ในแมตช์ที่ สเปอร์ส พบ กับ อาร์เซน่อล ในรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ ในปีนั้น ผลจบลงที่ สเปอร์ส เอาชนะ อาร์เซน่อลไป 3-1 เป็นลอนดอนดาร์บี้แมตช์ที่แฟนๆ สเปอร์ส จะต้องจดจำไปอีกนาน เพราะนอกจากที่ทีมรักชนะคู่ปรับร่วมเมืองได้แล้ว สิ่งที่ยังติดตาตรึงใจมิอาจลืมก็คือฟรีคิกของ “แกสซ่า” ในเกมวันนั้นที่สุดแสนจะน่าทึ่ง
7.ดีเอโก้ มาราโดน่า
เทพบุตร และ ซาตาน ของวงการลูกหนังที่ผู้คนทั่วโลกมิอาจลืมเลือน ดิเอโก้ มาราโดน่า คือนักเตะที่ดีที่สุดที่โลกเคยมี และเป็นนักเตะในตำนานของประเทศอาร์เจนติน่า การทำประตูที่น่าทึ่ง 2 ประตูในศึกฟุตบอลโลกปี 1986 ในแมตช์ที่ทีมชาติอาร์เจนติน่า พบกับทีมชาติอังกฤษ คือสิ่งที่บอกความเป็นตัวตนอย่างชัดเจนที่สุดในอาชีพนักเตะของเขา แต่น้อยคนนักที่จะรู้ดีถึงความสามารถอีกอย่างของ มาราโดน่า นั่นก็คือการสังหารฟรีคิก ที่นักเตะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาในสมัยนั้น จะรู้ดีว่าเขาคือตัวสังหารฟรีคิกที่อันตรายที่สุด ด้วยเอกลักษณ์ที่เป็นตัวของตัวเองก็คือ เขาจะยืนห่างจากลูกบอลเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
6.สจ๊วต เพียซ
เมื่อใดก็ตามที่เราเห็น สจ๊วต เพียซ ใส่อารมณ์กับลูกฟุตบอล เรารู้ได้ทันทีว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้น มันเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 3 ยังไงยังงั้น เท้าซ้ายอันทรงพลังของเขา เป็นที่กล่าวขานกันมากที่สุดในเกมเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ปี 1991 ในแมตช์ที่พบกับ สเปอร์ส
5.ปิแอร์ ฟาน ฮอยดองค์
ปีแอร์ ฟาน ฮอยดองค์ ชื่อนี้ไม่เคยถูกโจมตี หรือถูกซบประมาทว่าเขาเป็นนักเตะที่เร่ร่อนไปทั่ว, ฮอยดองค์ พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถที่มีอยู่ในตัวในเรื่องการสังหารฟรีคิก และความหมายของคำว่าฟรีคิกได้เป็นอย่างดี แม้มันอาจดูไม่น่ากลัวถึงขั้นเทพ แต่แฟนๆ เซลติก และ น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรส จะยกมือเป็นพยานให้กับเขา ว่าตลอดระยะเวลาที่ ฮอยดองค์ อยู่ที่นั่นมันมีความพิเศษเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นเสมอๆ ในแต่ละเกมที่เขาลงสนาม
4.แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์
เป็นที่ทราบกันดีว่าในทศวรรษที่ 90 แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ศูนย์หน้ามาดละเมียดผู้นี้ คือทุกสิ่งทุกอย่างของสโมสรเซาแธมป์ตัน และมันก็เป็นแบบนั้น เช่นเดียวกับจำนวนประตูนับโหลที่สุดแสนจะมหัศจรรย์อันเกิดจากการเล่นลูก โอเพ่น เพลย์ จนเขาถูกขนานนามให้เป็นพระเจ้าแห่งความตาย เขามักจะทำอะไรให้มันผิดแผกแตกต่างไปจากคนทั่วไป ในปี 1994 แมตช์ที่พบกับ วิมเบิลดัน เลอ ทิสซิเอร์ จงใจที่จะฝ่าฝืนประเพณีทั้งหมดในการที่จะปั่นฟรีคิกจากระยะหวังผลให้ข้ามกำแพง เขากระดกบอลขึ้นจากพื้น แล้วตัดสินใจฮาล์ฟวอลเลย์จากระยะ 25 หลาเข้าประตูไปแบบเหนือจิตนการของมนุษย์ธรรมดาจะมี และจนถึงวันนี้ฟรีคิกลูกนั้นของเขายังอยู่ในความทรงจำ
3.ซินิซ่า มิไฮโลวิช
ภาพเหตุการณ์ที่คุณมักจะเห็นอยู่เสมอๆ ในโลกของฟุตบอลอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อทีมของคุณตัดสินใจขายซูเปอร์สตาร์ในทีมให้กับทีมคู่แข่ง และในซีซั่นต่อมาเรามักจะได้เห็นเขาเหล่านั้นกลับมาทำประตูทีมเก่าอยู่เสมอๆ มิไฮจ์โลวิช คือหนึ่งในนั้น แฟนๆ ของทีมซามพ์โดเรีย คงยังจำกันได้ ในปี 1998 มิไฮจ์โลวิช ซึ่งในขณะนั้นกลับมายังซามพ์โดเรีย ถิ่นเก่า แต่คราวนี้เขากลับมาในฐานะนักเตะของ ลาซิโอ เขาสามารถทำแฮททริกได้ในเกมวันนั้น ที่แปลกก็คือโดยตำแหน่ง มิไฮจ์โลวิช คือผู้เล่นในตำแหน่งกองหลัง แต่ที่แปลกไปกว่านั้นและหาดูได้ยากมากก็คือ 3 ประตูที่เกิดขึ้น มันเกิดมาจากผลงานการสร้างสรรค์ลูกฟรีคิกของแบ็กอดีตทีมชาติเซอร์เบียร์ ผู้นี้ทั้ง 3 ประตู ซึ่งมันไม่ได้ฟลุค 27 ประตูจากลูกฟรีคิกในกัลโช่ เซเรีย อา จนบัดนี้ยังไม่มีใครมาทำลายสถิตินั้นได้
2.จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่
มาถึงอันดับ 2 กันแล้วเรากำลังพูดถึงผู้เชี่ยวชาญการยิงลูกนิ่งของ จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่ เพลย์เมคเกอร์ ชาวบราซิเลี่ยนผู้ที่ถูกจารึกชื่อให้เป็นผู้สร้างสรรค์ฟรีคิกที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ในโลกฟุตบอลสมัยใหม่ ทันทีที่แสงไฟของฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สว่างขึ้นลูกยิงอันน่าทึ่งของเขาจะปรากฏสู่สายตาแก่ทุกคนอยู่เสมอ ในปี 2006 ลียง ถูกยกให้เป็นทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดในยุโรป และกว่า 45% ของจำนวนประตูที่ ลียง ทำได้ มันมาจากฟรีคิกของ จูนินโญ่ ด้วยฟุตบอลที่มีลักษณะส่าย และเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วขณะลอยอยู่กลางอากาศจนไม่อาจคาดเดาทิศทางของลูกได้ คือเอกลักษณ์เฉพาะ ที่หาใครลอกเลียนแบบไม่ได้ 35 ประตูคือสถิติที่ จูนินโญ่ ทำประตูได้จากลูกฟรีคิกให้กับ โอลิมปิก ลียง
1.เดวิด เบ็คแฮม


เมื่อชาติต้องการเขามากที่สุดในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ทีมชาติอังกฤษ ของ เบ็คแฮม ลงเล่นเกมสุดท้ายของฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2002 กับกรีซ อังกฤษต้องการหนึ่งประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเพื่อแรกกับการได้ตั๋วไปเตะรอบสุดท้ายที่ ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ และแล้ว เบ็คแฮม ก็โกงความตายให้กับอังกฤษได้สำเร็จ เขาบรรจงปั่นฟรีคิกลูกนั้นท่ามกลางความกดดัน และความหวังของคนทั้งประเทศ พาทีมชาติอังกฤษทะยานผ่านเข้าไปเตะฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2002 ได้สำเร็จ มันเหมือนพระเจ้าจะลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า เพราะท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบคั้น มันมักจะสร้างวีรบุรุษอยู่เสมอเครดิต http://www.toptenthailand.com/display.php?id=2911

F50 รองเท้าสตั๊ดเบาที่สุดในโลก


F50 อาดิซีโร่ เป็นรูปทรงใหม่ ดูปราดเปรียวด้วยหนังสังเคราะห์ sprint skin ที่เบาและทนทาน หน้าเท้าและส้นเท้ามีรูปทรงกว้างขึ้น เพื่อช่วยให้สวมใส่สบาย ไม่บีบเท้า ฐานปุ่มกว้าง ช่วยกระจายแรงกระแทก ส่วนพื้นและปุ่มรองเท้าเป็นวัสดุTPUที่มีความทนทานสูง

นักเตะที่ได้สวม F50 อาดิซีโร่ เป็นคนแรก คือ ไลโอเนล เมสซี่ โดยเป็นรองเท้าที่ใช่สีพิเศษ สีม่วงกิ้งก่าคามิเลียน เพื่อลงแข่งในศึกฟุตบอลโลก 2010 โดย เมสซี่ ผู้เพิ่งได้รับตำแหน่ง “นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี” ของฟีฟ่า กล่าวถึงความรู้สึกว่า “ผมรู้สึกทึ่งกับน้ำหนักที่เบามากของ F50 อาดิซีโร่ คู่ใหม่นี้อย่างมาก แทบจะไม่รู้สึกเลยว่ากำลังสวมมันอยู่ บนสนามแข่งนั้นเรื่องความเร็วถือเป็นสิ่งสำคัญมากกับเกมการแข่งขัน และผมก็หวังว่าการที่ได้สวมใส่รองเท้าฟุตบอลที่เบาที่สุดในโลกนี้ จะช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระหว่างแมทช์สำคัญๆ ของปีนี้ด้วย”

ด้าน ดาวิด บีย่า จากสเปน จะเป็นอีกผู้หนึ่งที่จะสวมใส่ F50 อาดิซีโร่ ในเวอร์ชั่นที่เป็นสีดำและเหลืองพระอาทิตย์ ซึ่งดาวิดได้กล่าวเสริมว่า “ความเร็วเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งสำหรับผมในเกมการแข่งขัน และผมก็ตื่นเต้นมากๆ ที่จะสามารถเร่งสปีดได้เร็วขึ้นอีก ในการแข่งขันกับผู้เล่นชั้นแนวหน้าของโลกในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่อัฟริกาใต้ที่จะถึงนี้”

ความสามารถด้าน “ความเร็ว” ในวงการฟุตบอลปัจจุบัน ไม่เคยได้รับการพัฒนาขั้นสูงสุดอย่างนี้มาก่อน ระยะเวลาความเร็วที่ต่างกันเพียงเศษเสี้ยวของวินาทีหรือเพียงไม่กี่มิลลิเมตร ก็สามารถมีผลต่อการแพ้หรือชนะในการแข่งขันได้ อาดิดาสจึงตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวต่อผู้เล่น ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมแห่งความเร็วล่าสุดขึ้น ด้วยการพลิกโฉมรองเท้า F50 ให้เป็นสตั๊ดที่มีน้ำหนักเบาที่สุด ที่เคยมีการผลิตขึ้นมา

รองเท้า F50 อาดิซีโร่ จะได้รับการสวมใส่โดยผู้เล่นชั้นนำมากมายในการแข่งขัน ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 โดยดีไซน์รุ่นสีม่วงกิ้งก่าคามิเลียน จะสวมใส่โดย ไลโอเนล เมสซี่ แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ในขณะที่นักเตะคนอื่นๆ อย่าง สตีเว่น พีนาร์ (อัฟริกาใต้) โจซีย์ อัลติดอร์ (สหรัฐอเมริกา) ชุนซูเกะ นากามูระ (ญี่ปุ่น) ซาโลมอง กาลู (ไอเวอรี่ โค้สต์) อาร์เยน ร็อบเบน (ฮอลแลนด์) ลูคัส โพโดลสกี้ (เยอรมันนี) ดาวิด บีย่า (สเปน) ซาเมียร์ นาสรี (ฝรั่งเศส) เจอร์เมน เดโฟ (อังกฤษ) และโจฮันน์ วอนแลนเธน (สวิสเซอร์แลนด์) จะสวมใส่รุ่นดีไซน์สีเหลืองพระอาทิตย์คาดสีดำ
** ข้อมูลด้านเทคโนโลยีและการทำงานของ F50 อาดิซีโร่ **

รองเท้า F50 อาดิซีโร่ ผลิตด้วยนวัตกรรมที่ใช้วัสดุและหนังสังเคราะห์คุณภาพสูง รวมถึงเทคโนโลยีชั้นนำในการผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำหนักตามเป้าหมายเพียง 165 กรัม (ไซส์ 8.5 UK)

หนังของรองเท้า F50 อาดิซีโร่ ใช้เทคโนโลยี SprintSkin ทำจากวัสดุสังเคราะห์โพลียูรีเทน ที่เป็นเส้นใยไมโครไฟเบอร์สังเคราะห์ชั้นเดียว เพื่อลดน้ำหนักโดยรวมของรองเท้า และกระชับรูปเท้าราวกับเป็นผิวหนังชั้นที่สอง เพื่อการสัมผัสบอลที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ให้ความรู้สึกยามเตะได้ดีมากขึ้น และช่วยเพิ่มความสบายยามสวมใส่ เสริมด้วยโครงสร้างTPU Band ด้านใน เพื่อเพิ่มความทนทานของหนังรองเท้า และช่วยในการโอบกระชับเท้าและให้การทรงตัวที่ดี ส่วนที่ต่อติดกับพื้นรองเท้า หุ้มด้วย TPU ทำให้รองเท้ามีความทนทานสูงสุด พื้นรองเท้าไม่เปิดหรือเสียหายง่าย

F50 อาดิซีโร่ ผสานปุ่มแบบใหม่ Triangular รูปทรงสามเหลี่ยมที่ช่วยในการจิกเกาะพื้นดิน ช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวในทุกทิศทาง ฐานปุ่มใหญ่ช่วยกระจายแรงกด ให้ความมั่นคงโดยเฉพาะเวลาลงสู่พื้น

ภูมิใจนำเสนอ สุดยอดรองเท้าสตั๊ดน้ำหนักเบาที่สุดที่เคยมีการผลิตขึ้นมา F50 อาดิซีโร่ (F50 adiZero) ปฏิวัติวงการลูกหนัง ด้วยน้ำหนักเบาเพียง 165 กรัม (ไซส์ 8.5 UK) โดดเด่นด้วยที่สุดยอดแห่งเทคโนโลยีรองเท้าฟุตบอลสมัยใหม่เต็มรูปแบบ พร้อมโครงสร้างปุ่มแบบใหม่ที่เน้นด้านการยึดเกาะ ช่วยเพิ่มความเร็วและความคล่องตัว ส่งผลให้ F50 อาดิซีโร่เป็นรองเท้าฟุตบอลที่เบาที่สุดในโลก ณ ขณะนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก adidas thailand

มาดูสตั๊ดที่แพงที่สุดในโลกกันดีกว่า

สื่อเมืองผู้ดีเปิดโฉมรองเท้าสตั๊ดที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสามแข้งเมืองผู้ดีจอห์น เทอร์รี่, เวย์น รูนี่ย์ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยทุกคู่ถูกประดับด้วยเพชรน้ำงาม แต่ไม่ได้มีไว้ใส่แต่ทำขึ้นเพื่อไว้ประมูล
นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ เปิดเผย รองเท้าสตั๊ดที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ จากการที่มันถูกประดับประดาด้วยเพชรน้ำงาม และมีไว้สำหรับเพชรแห่งวงการลูกหนังผู้ดีอย่าง จอห์น เทอร์รี่, เวย์น รูนี่ย์ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์
แท็บลอยด์ดังเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า เพชรกว่า 7,444 เม็ด ถูกนำไปประดับรองเท้าทั้งสามคู่ซึ่งสนนราคารวมแล้วตกอยู่ที่ 385,000 ปอนด์ (ราว 21.56 ล้านบาท)

คู่แรก...เทอร์รี่

มันคือรองเท้าสุดอลังการที่สุดของโลก โดยของเทอร์รี่ เป็นยี่ห้อ "อัมโบร" สีขาวล้วน พร้อมกับลายเซ็นกัปตันทีมชาติอังกฤษจากเชลซี หลังจบเกม เวิลด์ คัพ รอบคัดเลือกที่ ทรี ไลออนส์ ขย้ำเบลารุส 3-0 เมื่อ 14 ต.ค. และมีเพชรประดับ 2,374 เม็ด นอกจากนี้ ยังมีการปักชื่อลูกๆ อย่าง ซัมเมอร์ และจอร์จี้ พร้อมกับธงชาติตรงลิ้นด้วย ขณะที่หมายเลข 6 ของเขาทำมาจากทองคำขาว ส่วนน้ำหนักเพชรรวมทั้งหมดมากกว่า 27 กะรัต แถมด้วยนิลอีกเกือบ 11 กะรัต สนนราคารองเท้าของเจที อยู่ที่ 135,000 ปอนด์ (ราว 7.56 ล้านบาท)

คู่ต่อไป...รูนี่ย์ (WR10)

ถัดมาได้แก่ของรูนี่ย์ ดาวยิงแมนฯ ยูไนเต็ด กับรองเท้าสตั๊ดไนกี้สีขาวที่เจ้าตัวสวมในพรีเมียร์ลีก ซึ่งถูกนำเพชร 2,576 ชิ้น หนักกว่า 10 กะรัต มาประดับทั้งเพชรสีขาว เพชรสีดำอีก 21 กะรัต ส่วนเบอร์ 10 ทำมาจากทองคำสีชมพู สนนราคารวมอยู่ที่คู่ละ 125,000 ปอนด์ (ราว 7 ล้านบาท)

และคู่ที่สาม...ริโอ

คู่สุดท้ายเป็นของริโอ ที่ใช้รองเท้าไนกี้เหมือนกัน แต่เป็นสีดำ ซึ่งมีการพ่นสีประดับสไตล์อาร์ตโดย โกลดี้ ศิลปินดัง ส่วนหมายเลข 5 ทำมาจากทองคำสีชมพู ขณะที่น้ำหนักทองที่ใช้ประดับอยู่ที่ 2,494 สโตน เพชรสีขาวมากกว่า 18 กะรัต เพชรสีดำมากกว่า 15 กะรัต และทับทิมอีกเกือบ 11 กะรัต สนนราคารวมถึง 125,000 ปอนด์ (ราว 7 ล้านบาท)

รองเท้าทั้งสามคู่ จะมีการนำไปประมูลในงานเปิดตัวมูลนิธิ "Live The Dream Foundation" ของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ต่อหน้าแขกเหรื่อกว่า 1,200 ชีวิต ที่ลอนดอน ในวันพุธนี้ เพื่อหาเงินช่วยการกุศลต่อไป

Credit : Siamsport.com

รองเท้าฟุตบอล ซื้อแบบไหน เลือกยังไงดี ??



หลายๆท่านคงมีคำถามอยู่ในใจว่า รองเท้าฟุตบอล ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป แต่ละรุ่น แต่ละ Brand นั้นจะแตกต่างกันอย่างไร และเราควรจะเลือกซื้อ แบบไหนดี..
ในความเป็นจริงแล้วการเลือกซื้อ รองเท้า สักคู่หนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แม้กระทั่ง รองเท้า แตะอยู่กับบ้าน เรายังต้องเลือกรองเท้าที่ใส่สบาย นุ่ม กระชับเท้าและมีพื้นรองเท้าที่ยึดเกาะพื้นผิวได้ดี ดังนั้นคงไม่แปลกอะไร ถ้าเราจะต้องพิถีพิถันในการเลือกซื้อรองเท้ากีฬาสักคู่หนึ่ง วันนี้จึงขอเสนอแนะวิธีการเลือกรองเท้าฟุตบอลที่เหมาะกับท่าน
หลักในการพิจารณาเลือก รองเท้าฟุตบอล ก็แบ่งออกเป็น 2 ประการสำคัญดังนี้
ประการแรก เราจะต้องพิจารณาจากจำนวนปุ่มที่อยู่ใต้พื้น รองเท้าฟุตบอล หรือที่เรียกกันว่า "ปุ่ม STUD" ซึ่งจำนวนและประเภทของเจ้าปุ่มที่ว่านี้ มีความสำคัญมาก เนื่องจากเจ้าปุ่ม STUD นี้จะอยู่บริเวณพื้น รองเท้าฟุตบอล หรือที่เรียกกันว่า OUTSOLE ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ และการยึดเกาะบนพื้นสนาม ขณะเล่นฟุตบอลด้วย ดังนั้นการเลือกประเภท ของปุ่ม STUD จำเป็นจะต้องคำนึงถึงลักษณะของสนามที่จะลงเล่นเป็นสำคัญ เพราะปุ่ม STUD แต่ละประเภทได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับพื้นผิวของสนาม ที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. SOFT GROUND สำหรับพื้นสนามที่นุ่ม จะมีลักษณะของปุ่ม STUD เป็นจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จะมีเพียง 6 ปุ่ม ต่อรองเท้าฟุตบอล 1 ข้างเท่านั้น ปุ่มประเภทนี้เหมาะสำหรับ พื้นหญ้าที่มี ความนุ่มนวล ส่วนใหญ่จะเป็น สนาม ฟุตบอลใหญ่ๆ หรือสนามฟุตบอลอาชีพ
2. FIRM GROUND สำหรับพื้นสนามทั่วไป จะมีลักษณะของปุ่ม STUD ประมาณ 12 - 15 ปุ่ม ต่อ รองเท้าฟุตบอล 1 ข้าง ปุ่ม STUD ชนิดนี้เหมาะสำหรับพื้นสนามทั่วไปและ สนามที่พื้นค่อนข้างแข็ง พื้น STUD รูปแบบนี้เป็นที่นิยมและเหมาะสมมาก สำหรับสนามในเมืองไทย
3. HARD GROUND สำหรับพื้นสนามที่แข็งมาก จะมีจำนวนของปุ่ม STUD มากกว่า 15 ปุ่ม ต่อ รองเท้าฟุตบอล 1 ข้าง ซึ่งรองเท้าที่มีปุ่มชนิดนี้ได้ พัฒนามาจาก STUD ของรองเท้าประเภท FIRM GROUND เหมาะสำหรับพื้นสนามที่มีความแข็ง มากเป็นพิเศษ
ประการที่สอง จะต้องพิจารณาจากหน้าผ้า หรือที่เรียกกันว่า "UPPER" ด้วย เพราะหน้าผ้าหรือส่วนของตัว รองเท้าฟุตบอล ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญซึ่งทำหน้าที่ ห่อหุ้มและปกป้องเท้าของผู้สวมใส่ ช่วยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้า
ดังนั้นการเลือกประเภทของ รองเท้าฟุตบอล โดยพิจารณาจากประเภทวัสดุที่ใช้ทำหน้าผ้าจึงเป็นสำคัญอย่างมาก เพราะวัสดุแต่ละประเภทที่ใช้ทำหน้าผ้าจะให้ผลที่ต่างกันดังนี้
1. หน้าผ้าที่ทำจากหนังแท้ หรือ FULL GRAIN LEATHER จะให้ความทนทานสูง พื้นผิวมีความนุ่มนวล ให้การสัมผัสบอลที่ดีเป็นธรรมชาติ แต่รองเท้าชนิดนี้จะมีราคาสูง
2. หน้าผ้าที่ทำจากหนังเทียม หรือ SYNTHETIC LEATHER จะให้ความทนทาน ที่ต่ำกว่า รองเท้าฟุตบอล ที่ทำจากหนังแท้ แต่ รองเท้าฟุตบอล ชนิดนี้จะมีน้ำหนักที่เบากว่า และคงรูปได้นานกว่าหนังแท้ โดยเฉพาะเรื่องราคาจะถูกกว่า รองเท้าฟุตบอล ที่ทำจากหนังแท้มาก
ที่มา http://snackjackwebsite.6te.net/shoestip.html

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

คำถามที่ผู้ที่เรียกตัวเองว่า The Kop ถูกถามอยู่เสมอ

คำถามที่ผู้ที่เรียกตัวเองว่า The Kop ถูกถามอยู่เสมอ
ทำไมถึงชอบ LIVERPOOL FC. ?
ชอบมากี่ปีแล้ว? นักเตะคนไหนที่ชอบเป็นพิเศษ?
ฤดูกาลหน้าคาดว่า LIVERPOOL FC. จะได้ถ้วยใดบ้าง?

คำถามลักษณะนี้ผมเชื่อว่า ทุกท่านที่เป็นแฟนทีมลิเวอร์พูล ถูกถามอยู่เสมอ และคำถามนี้ ดูไม่ยากนะครับ แต่ก็บางคนนั้น ก็หาคำตอบในใจได้ยากเหลือเกิน (ตายน้ำตื้น) เหตุเพราะต่างคนก็ต่างทัศนะกันไป แล้วแต่วัยแล้วแต่ยุคที่เริ่มเชียร์ เริ่มประทับใจทีม LIVERPOOL FC. ทีมนี้

ผมว่าเรามาดูคำตอบ ของ CHAI THE KOP (ผู้ที่เคยออกรายการ แฟนพันธุ์แท้มาแล้ว) โดยส่วนตัวแล้วผมก็สนิทกับพี่ CHAI THE KOP มากพอสมควร และพอจะเดาได้ว่า พี่ชัยต้องชอบ Robbie Fowler แน่นอนครับ เหตุเพราะว่า หน้าตาละม้ายคล้ายกัน กับนักเตะรายนี้ก็เป็นไปได้ครับผม

ชอบ LIVERPOOL FC. มาทั้งหมด 18 ปีแล้วครับ เหตุผลที่ชอบทีม LIVERPOOL FC. เป็นทีมฟุตบอลที่มีเสน่ห์ และยังเป็นตำนาน ของทีมลูกหนังโลกอีกด้วย เสน่ห์ ถ้าเปรียบเทียบ LIVERPOOL FC. เป็นหนังเรื่องหนึ่งแล้ว ลิเวอร์พูล จะเป็นหนังที่ให้อรรถรส ในการชมอย่างครบถ้วน สุขสมหวัง ในช่วงปี 70 - 80 และหนังเรื่องนี้ ดูจะผิดหวัง ในช่วงทศวรรษที่ 90 ตอนจบภาคแรก แต่ว่าในปี 2001 ลิเวอร์พูล สามารถคว้าถ้วยแชมป์ได้ 3 ถ้วยในปีเดียวกัน และก็เป็นทีมแรกแห่งประวัติศาสตร์ ฟุตบอลอังกฤษด้วย ที่สามารถคว้าแชมป์ 3 แชมป์ (ถือว่าเป็นฟุตบอลถ้วยล้วนๆ F.A.CUP LEAUGE CUP UEFA CUP) และเป็นทีมแรก ของเกาะอังกฤษที่ได้เข้าชิง ที่สนามแห่งใหม่ นั่นก็คือ คาร์ดิฟฟ์ ถึง 2 ครั้งในปีเดียวกัน (เดิมใช้สนาม เวมบลีย์) และสนามนี้ ก็กำลังปรับปรุงใหม่ และก็เป็นตำนานของนักเตะหงส์แดง ดีทมาร์ ฮามันน์ เป็นคนยิงประตูดับอังกฤษ คาบ้านที่ เวมบลีย์ และประตูนี้ถือเป็นประตูอำลาสนามเวมบลีย์ อีกด้วย


* แต่เหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดก็มาถึงเมื่อ นักแสดงทั้งหมด เอ้ย ไม่ใช่ครับ นักเตะชุด Triple Champ ของสโมสรลิเวอร์พูล ทั้งหมด + Staff มาเมืองไทยให้เราได้ถ่ายรูป , ขอลายเซ็นต์ , และพูดคุยกันกับพวกเราด้วย (คอยพบกับภาค 2)
ตำนาน LIVERPOOL FC. ได้สร้างความทรงจำให้กับบรรดา The Kop อย่างมาก

1. การเป็นแชมป์สโมสรยุโรป ( ยูโรเปี้ยนคัพ ) 4 สมัย ในปี 1977 , 1978 ,1981 ,1984 และที่สำคัญแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ 18 สมัย (ดิวิชั่น 1 เดิม )

2. เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่ The Kop ไม่มีวันที่จะลืมเลือน ฮิลล์โบโร่ สเตเดี้ยม (96 ชีวิตต้องจากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ) , เฮย์เซลล์สเตเดี้ยม 30 กว่าชีวิต ต้องเสียไปที่เบลเยี่ยม

3. และตำนานที่ควรค่าแก่การยกย่อง สรรเสริญ ผู้จัดการทีม บิลล์ แชงคลี่ย์ (ปรมาจารย์ลูกหนังของสโมสรลิเวอร์พูล) บ๊อบ เพสลี่ย์ (สุดยอดผู้จัดการทีมของเกาะอังกฤษ ที่มีผลงานดีมากที่สุดในเกาะอังกฤษ แต่ไม่ได้รับการขนานนามว่า " เซอร์ " นับเป็นเรื่องเศร้าของ The Kop จริงๆ) โจ เฟแกน ผู้จัดการทีมที่สามารถพาทีมคว้า Triple Champ ได้เป็นคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ในปี 1981 (ยูโรเปี้ยนคัพ , ลีก คัพ , ดิวิชั่น 1)

4. นักเตะที่ควรค่าแก่การจดจำ และเป็นตำนานของลิเวอร์พูล เล่าขานกันต่อๆมา เอมลีน ฮิวจ์ , มาร์ค ลอเรนเซ่น , อลัน เฮนเซ่น , ฟิล ธอมป์สัน , เรย์ คลีเม้นท์ , เควิน คีแกน , เคนนี่ ดัลกลิช , แซมมี่ ลี , แกรม ซูเนสส์ และอีกมากมาย

5. ประกาศิตจากผู้จัดการทีม ที่นักเตะทุกคน และบรรดาสื่อมวลชนทุกคนต้อง ทึ่งในเชาวน์ปัญญา ของผู้จัดการทีมคนนั้นๆ และปฏิบัติตามคำสั่งนั้นๆ อย่างเคร่งขรัด เช่น คำกล่าวของ บิลล์ แชงคลี่ย์ " ฟุตบอลไม่ใช่แค่ผลแพ้ - ชนะ ไม่ใช่แค่ความเป็นความตาย แต่มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น " และอีกคำพูดที่ ทำให้เอฟเวอร์โตเนี่ยน ไม่ชอบลิเวอร์พูลก็คือ "LIVERPOOL มีทีมอยู่ 2 ทีม ทีมหนึ่งคือทีมทึ่ยิ่งใหญ่ LIVERPOOL FC. และอีกทีมหนึ่งคือทีมสำรองของ LIVERPOOL FC. (คือเอฟเวอร์ตัน) อีกเหตุการณ์ที่ผมจำได้อีกก็คือ ในสมัยของ แกรม ซูเนสส์ เป็นผู้จัดการทีมนั้น ในครึ่งแรกนั้นลิเวอร์พูล ถูก แมนฯยู นำอยู่ 3 - 0 ซึ่ง ซูเนสส์ บอกกับลูกทีมว่า " พวกแกจะทำให้ The Kop ทั้งเมือง ถูกตบหน้า ฉาดใหญ่ อย่างแรงหรือยังไง?" ประกาศิตออกมาแค่นี้นั้น ครึ่งหลัง หนังคนละม้วนเลยครับ ลิเวอร์พูลสามารถตีเสมอได้ 3 - 3 ( ไนเจล ครัฟ 2 , รัดด็อก 1 ) และก็เป็นการเสมอ อย่างสุดมันจริงๆ

6. ประโยคอมตะอย่างสโมสรอื่นไม่มี YOU ' LL NEVER WALK ALONE หรือ
THIS IS ANFIELD และอื่นๆอีกมากมาย ที่ไม่อาจจะสาธยายได้ (รอต่อภาค 2 นะครับ)
ท้ายที่สุดนี้ผมเชื่อว่า ไม่ว่า ใครจะตอบแบบไหน โดยส่วนลึกของทุกคนแล้ว ทุกคนจะมี
ความภาคภูมิใจในความเป็น THE KOP ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะว่าคุณ จะไม่มีวันเดินเดียวดายอย่างแน่นอน

YOU " LL NEVER WALK ALONE
ที่มา www.liverpool.in.th

ผู้จัดการทีม : คนคู่หงส์

ป๋ารอย ( รอย อีแวนส์ ) + เฮียโปน ( เชร์ราดด์ อุลลิเยร์ )
# อนึ่งเหตุการณ์ในช่วงนั้นคือช่วงที่ป๋ารอยทำทีมผลงานตกต่ำชนิดเรียกว่ามีโอกาสตกชั้นทีเดียว จนบอร์ดบริหารของทีมลิเวอร์พูลอยากจะปลดเขาออก แต่ด้วยความเกรงใจ ( ไม่เข้าท่า ) แทนที่จะแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่มาทำงานคุมทีมแทน ( เฮียโปนนั่นเองครับ ) จึงแต่งตั้งให้ทำงานคู่กัน กลายเป็น “คนคู่หงส์” กลายเป็นอีกตำนานหนึ่งของลิเวอร์พูล

(1) ป๋ารอย

เขาคือผู้จัดการทีมที่มีใบหน้าคล้ายกับฆาตกรโรคจิตที่ป่วยเป็นมะเร็งในเรื่อง SAW? .. ( เอ…. หรือว่าเป็นคน ๆ เดียวกันหว่า )? อย่างไรก็ตามป๋ารอยได้สร้างระบบการเล่นที่เน้นการบุกเร้าใจและดุดันเข้าำห้ำหั่นกับฝ่ายตรงข้ามชนิดได้ใจแฟนบอล จนลิเวอร์พูลในยุคของเขาจัดเป็นทีมที่มีสีสันและถือว่าเชียร์สนุกทีเดียว แต่ป๋าแกก็มีจุดอ่อนอยู่ที่การที่แกชอบแต่ตัวผู้เล่นที่มีความโดดเด่นอยู่แต่ด้านเดียว เช่น กองหลังที่ดุดัน ปีกที่เลี้ยงบอลเก่ง กองหน้าที่เร็ว แต่ทุกคนล้วนขาดทักษะและความสามารถเฉพาะตัวที่จำเป็นและยืดหยุ่นได้กับสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ ดังนั้นในระยะหลังทีมคู่แข่งเริ่มจับทางได้และเล่นแบบเขี้ยวลากดินเ้ข้าใส่ ป๋ารอยไม่สามารถจะแก้เกมส์ได้เลย จนผลงานของทีมตกต่ำลงเรื่อย ๆ และเวลาของป๋ารอยก็กำลังหมดลงพร้อมกับการเล่นแบบฟุตบอลอังกฤษขนานแท้ที่กำลังถูกแทนที่ด้วยฟุตบอลสมัยใหม่อย่างทีมชั้นนำทีมอื่น ๆ

(2) เฮียโปน

การต้องการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ทำให้บอร์ดบริหารของลิเวอร์พูลได้ตัดสินใจเลือก เชร์ราร์ด์ อุลลิเยร์ หรือที่เดอะค็อปส์ต่างเรียกเขาว่า ” Doctor Who “? ตามการออกเสียงชื่อเขาแบบอังกฤษและตามวุฒิปริญญาเอกการกีฬาฟุตบอลของเขา
เมื่อบอร์ดตัดสินใจให้เฮียโปนได้เข้ามาร่วมงานกับป๋า หลายคนเืชื่อว่าลิเวอร์พูลน่าจะไปได้ดี เพราะสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว แต่เอาเข้าจริง ๆ ทั้งคู่ต่างมีปรัชญาทำทีมต่างกัน ในขณะที่ป๋ารอยเน้นเกมส์บุกอย่างตะบี้ตะบัน แต่ด๊อก (ด๊อกเตอร์ ) แกกลับให้ทีมเล่นรัดกุมแบบสุด ๆ เพื่อเน้นผลการแข่งขันไว้ก่อนผลงานของทีมจึงออกมาได้ไม่ดีมากนัก

ช่วงนั้นถ้าใครดูการเล่นของลิเวอร์พูลก็คงพูดอะไรไม่ค่อยออก มันดูอึดอัดจริง ๆ เหมือนคนปวดขี้ฉิ… หาย แต่กลับขี้ไม่ออก ในขณะที่ป๋ารอยตะโกนสั่งบุกเต็มที่ ด๊อกแกกลับให้คุมโซนตั้งรับเหนียวแน่นและทำลายเกมส์คู่แข่ง การเล่นของลิเวอร์พูลช่วงนี้จึงเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ท้ายที่สุดสโมสรก็รู้ดีว่าต้องมีใครคนหนึ่งต้องไป และเป็นป๋ารอยที่ได้หลีกทางให้กับด๊อกได้ขึ้นมากุมชะตาทีมแบบเต็มตัวเพื่อนำลิเวอร์พูลเข้าสู่ฟุตบอลยุคใหม่ตามสโมสรอื่น ๆ

หลังจากที่ด๊อกเตอร์ฮูเข้ามาคุมทีมไม่นาน ก็จัดระบบทีมให้เน้นเกมส์ที่แน่นอนมากจนคนดูสงสัยว่านี่คือลิเวอร์พูลจริงหรือ เพราะัทุกเกมส์ล้วนบีบหัวใจ ไม่ว่าจะเจอทีมไหนลิเวอร์พูลก็ไม่ชนะหรือแพ้ได้ง่าย ๆ ยากที่จะคาดเดาผลการแข่งขัน ( ใครได้ดูเส้นทางในการคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพของเฮียกับลิเวอร์พูลต้องบอกได้เลยว่า ” ลุ้นกันขี้แตกขี้แตน” จริง ๆ ครับ
ความบีบคั้นและความเครียดนี้สังเกตได้จากดวงตาที่โปนออกมานอกเบ้าของเฮียแก เมื่อความเครียดมันสะสมนานเข้าแกต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ? ( ไม่รู้เป็นประเพณีหรือเปล่า ที่ ผจก. ทีมลิเวอร์พูลต้องเข้าผ่าตัด ตอนนี้ราฟาก็เพิ่งผ่าตัดนิ่วมา )
คุณครับ ผมและสาวกหงส์แดงทั่วโลกก็เครียดกันแทบเป็นบ้าเหมือนกันครับ ตอนนั้นผมอยากตะโกนออกมาจริง ๆ ครับว่า ” นี่มันฟุตบอลนะโว้ย!! ทำไมต้องทำเครียดถึงขนาดนี้ ? “
แต่แล้วกองเชียร์หงส์แดงโชคดีไม่ต้องเครียดนาน หลังจากการเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ “เชราร์ด์ อุลลิยร์” ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ เรียกได้ว่า “หมดสภาพ” จนเรารู้เลยว่าสภาพเฮียแกตอนนั้นมัน ” ชรา เหลาเหย่ “
ทั้งหมดนี้คือตำนานทีมลิเวอร์พูลอีกบทหนึ่งที่ผมอยากจะนำเสนอ ทุกคนทราบดีว่าลิเวอร์พูลเป็นทีมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเก่าแก่ทีมหนึ่ง เราได้รับรู้ตำนานหลายบทจากนักเตะ ผู้จัดการทีม โค้ช? หรือแม้กระทั่งแฟนบอล? สิ่งหนึ่งที่เราควรระลึกไว้คือ บนโลกนี้มีตำนานมากมายและไม่ได้มีเพียงเฉพาะตำนานของผู้ชนะฝ่ายเดียว บางครั้งคนอ่อนแอแต่ต่อสู้อย่างอดทนและมีสปิริตก็เป็นตำนานได้เช่นกัน
ผมคิดว่าทุกอณูของสโมสรที่เรารัก ก็เหมือนกันกับทุกสิ่งของคนที่เรารัก ล้วนมีความหมายทั้งหมด แน่นอนผมกล้าที่จะบอกว่าผมรักตำนานที่ผมได้กล่าวถึงมาทั้งหมด แม้ว่าพวกเขาจะประสบผลสำเร็จในชีวิตค้าแข้งกับลิเวอร์พูลหรือไม่ก็ตาม และผมจะจดจำพวกเขาต่อไป มากกว่าที่จะได้รับความสำเร็จมากมายแต่ไม่มีค่าอะไรที่จะจดจำ
แล้วคุณล่ะครับ……??? มีตำนานที่อยากจะเล่าสู่กันฟังไหม
ที่มา ball.in.th/england/liverpool

ลิเวอร์พูลในตำนาน

หากจะกล่าวถึงกีฬาที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันแล้ว ฟุตบอลจัดเป็นชนิดกีฬาที่มีแฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุดในโลก ดังปรากฎการณ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลในทุกระดับ ตั้งแต่ฟุตบอลนักเรียน ฟุตบอลลีกภายในประเทศ ไปจนถึงการแข่งขันฟุตบอลระดับชาติ ระดับทวีปหรือระดับโลก ผู้คนต่างคลั่งไคล้ฟุตบอลกันชนิด “เข้าเส้น” ( soccer is my life ) และได้ติดตามเชียร์ทีมโปรดของตนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม
สำหรับผมแล้ว “ลิเวอร์พูล”? คือ ทีมที่ผมติดตามเชียร์เสมอมา มันไม่ใช่เพราะในปีที่ผมเกิด ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปหรือลิเวอร์พูลมีตำนานนักเตะมากมายที่ทำให้ผมชอบลิเวอร์พูล มันอธิบายได้ยากว่าทำไมคน? ๆ หนึ่ง จะชื่นชอบทีมใดทีมหนึ่งอย่างจริงจัง แต่ผมอยากจะบอกว่าเมื่อผมได้ดูการเล่นของลิเวอร์พูลแล้วผมหลงรักมัน… รักจิตวิญญาณความเป็นลิเวอร์พูล เหมือนที่เราตกหลุมรักผู้หญิงสักคนนั้นแหละครับ
ผมเชื่อว่าเคยมีบทความที่กล่าวถึงทีมลิเวอร์พูลมากมายอยู่แล้ว ซึ่งคงไม่มีประโยชน์อะไรมากนักที่ผมจะกล่าวถึงแง่มุมเหล่านั้นซ้ำอีก คุณครับ! วันนี้ผมอยากจะเสนอลิเวอร์พูลในบางมุม-บางช่วง ที่ลิเวอร์พูลห่างหายจากการคว้าแชมป์ลีกในประเทศอังกฤษ ซึ่งมันทำให้เราไม่มีโอกาสเห็นลิเวอร์พูลในเวทีใหญ่ของยุโรป ซึ่งเป็นช่วงขาลงของทีมจนแฟนบอลลิเวอร์พูลอาจไม่อยากกล่าวถึงมันมากนัก
เอาละครับ ผมจะเข้าเรื่องสักที….
ลิเวอร์พูลในยุคทศวรรษปี 90? ถึงยุคก่อนราฟาเอล เบนิเตส เข้ามาคุมทีม คือ ลิเวอร์พูลยุคที่ผมกำลังเขียนถึง และสำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลที่เคยติดตามผลงานของทีมในช่วงนั้นแล้ว ก็คงไม่มีใครลืมภาพของผู้จัดการทีมอย่าง ป๋ารอย ( รอย อีแวนส์ ) หรือเฮียโปน ( เชราร์ด อุลลิเยร์ ) และบรรดานักเตะที่พาเหรดเข้ามาสร้างความครื้นเครงให้สโมสรแถบเมอร์ซีย์ไซด์แห่งนี้ลงได้หรอกครับ
คุณบางคนอาจกำลังคิดว่าต่อไปผมต้องเขียนถึงบรรดานักเตะอย่าง รอบบี้ ฟาวเลอร์ , ไมเคิล โอเวน , สตีฟ แมคมานามาน , เจมี คาร์ราเกอร์ หรือ สตีเวน เจอร์ราด แน่ ๆ …. โน้ โน้ โน… ใครที่คิดแบบนั้นกำลังเข้าใจผิดอย่างแรงเลยครับ เพราะสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนคือ “ลิเวอร์พูลในตำนาน” ในมุมที่ยังไม่มีใครเขียนถึงยังไงล่ะครับ
ทีมลิเวอร์พูลในตำนานของผมนั้น มีนักเตะและผู้จัดการทีมดังนี้ครับ…..

1. ผู้รักษาประตู : เดวิด เจมส์
เขาคือเบอร์ 1? ในทีมชาติอังกฤษยุคปัจจุบัน แต่ถ้ายุคนั้นละก็….. บรึ๋ยส์…… เป็นยุคที่พี่เจมส์เขาชอบทานแต่ข้าวมันไก่ ไม่ชอบทานข้าวเหนียวนึ่ง ฟอร์มการเล่นของพี่ท่านจึงห่างไกลจากฟอร์มเหนียวหนึบ แต่กลับมีอาการ “วืด” และ “จั่วลม”? บ่อยครั้งที่ออกมาตัดลูกกลางอากาศ เป็นผลให้เดอะคอปส์ขนลุกซู่ทุกครั้ง ถ้าใครเคยเล่นเกมส์ CM? ( Champion Manager ) ในยุคนั้นแล้วเลือกคุมทีม Liverpool ก็คงจะตื่นเต้นกับตัวอักษรวิ่งขึ้นมา? But James…. บ่อยครั้ง แน่นอนครับ หวังว่าอาการเฟอะฟะของพี่แกตอนนี้คงจะดีขึ้นแล้วนา ผมยังเชียร์อังกฤษอยู่นะครับ

2. แบ็คขวา : บียอน ทอเร่ ควาร์เม่
ฟูลแบ๊คนำเข้า ชาวนอร์วีเจี้ยนผู้นี้ เป็นสูตรสำเร็จแห่งความครื้นเครงของแบ็คโฟร์ในตำนานของผมครับ การที่ลิเวอร์พูลได้พี่แกมายืนตำแหน่งนี้แทน เจสัน แมคเคเทียร์ ทำให้ความอบอุ่นในใจของผมลดลงทุกครั้ง เมื่อพี่ท่านต้องเจอกับ โรแบร์ ปิเรส ( Arsenal ) หรือ ไรอัน กิ๊กส์ ( Man U )? ใครเคยดู ” There will be blood ” ก็คงทราบว่า เมื่อเจอ ” บ่อน้ำมัน ” เขาจะทำกันอย่างไรครับ

3. แบ็คซ้าย : ฟิล บาบ์ปส์
ที่จริงตำแหน่งของพี่เขาคือ เซ็นเตอร์แบ็ค ( ปราการหลังตัวกลาง ) ครับ แต่บางทีป๋ารอย จับพี่เขามาเล่นตำแหน่งนี้ถือว่าสุดยอดครับ เพราะพี่บ๊าบเขามักจะได้คะแนนการจ่ายบอลให้ทำประตู ( Asist ) เสมอ แต่เป็นการจ่ายให้ผู้เล่นทีมตรงกันข้ามหลุดเข้าไปดวลกับเจมส์ นายทวารอมตะของเราไงละครับ บาบ์ปส์จึงเหมือนเป็นกองหน้าตัวที่สามให้กับอีกทีม อย่างนี้พี่แก็สมควรจะได้เงินค่าเหนื่อยจากทีมคู่แข่งสิ ใช่ไหมครับคุณ ?

4. ปราการหลังตัวกลาง : ริโกแบร์ ซง
” The ฉ่าง ” ถือเป็นนักเตะอีกคนที่มีโอกาสเข้ามารับใช้ลิเวอร์พูลในยุค ” คนคู่หงส์ ” เขาถูกขุดมาจากทีม Salernitana ใน Italy ด้วยลีลาการเข้าบอลที่โฉ่งฉ่างและถูกสับขาหลอกเป็นประจำ ไม่น่าแปลกใจที่กลายมาเป็น ” ตัวฮา ” ที่สาวกหงส์ โดนกองเชียร์คู่อริแซวอยู่บอ่ย ๆ ไม่น่าแปลกใจที่กัปตันทีมชาติแคเมอรูนถูกตั้งคำถามว่า ทำไมระยะหลังทีมหมอผีจึงไม่ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ แม้จะมีกองหน้าระดับโลกอย่าง ซามูเอล เอโต อยู่ในทีมก็ตาม

5. ปราการหลังตัวกลาง ฌิมี่ ตราโอเร่
” ไอ้นกกระยางดำ “? คือ ฉายาที่ผมและเพื่อน ๆ ตั้งให้เขา นั้นอาจเป็นเพราะรูปร่างและแข้งขาที่สูงยาวและผอมของเขาก็เป็นได้ เขาเข้ามาร่วมทีมลิเวอร์พูล ด้วยการชักนำของเฮียโปน?แถมเฮียยังโชว์วิสัยทัศน์บอกว่า ฌิมี่ต้องได้เป็นนักเตะระดับโลกแน่นอน แต่จนบัดนี้ผมยังสงสัยอยู่เลยครับว่า เจ้านกกระยางดำของผมบินไปอยู่โลกไหนแล้ว ( เอาน่า อย่างน้อยในชีวิต ฌิมี่ ก็ยังได้ชูเจ้าบิ๊กเอียร์ กับเขาสักครั้งได้เหมือนกัน )

6. กองกลางตรงกลาง : ซาลิฟ ดิเยา
แจ้งเกิดกับทีมชาติเซเนกัลในฟุตบอลโลก 2002? จึงถูกเฮียโปนดึงตัวมาร่วมทีมด้วยความหวังว่าเขาจะมาอุดรูรั่วในแดนกลางตามสไตล์มิดฟิลด์พันธุ์ดุ

7. ปีกซ้าย : แฮร์รี่ คีเวลล์
พ่อมดแฮร์รี่เคยร่ายมนต์ลูกหนังสะกดแฟนบอลสมัยค้าแข้งอยู่กับลีดส์ยูไนเต็ด แต่หลังจากที่ลีดส์แพแตก แฮร์รี่ได้้ย้ายเข้ามาเล่นในแอนฟิลด์ แต่มนต์ของพ่อมดแฮร์รี่นั้นกลับไม่ขลังอีกต่อไป หลังเจออาการบาดเจ็บ และเมื่อกลับมาเล่นอีกครั้งก็พกอาการ ” แหยงตีน ” กลับลงสนามมาด้วย การขาดความมั่นใจอย่างแรง ทำให้ฟอร์มการเล่นของพ่อมด ตกต่ำเหมือนกลายเป็นนักเตะดาด ๆ คนหนึ่ง ( ที่เพียงแต่รับค่าเหนื่อยแพงเท่านั้น ) แอนฟิลด์จึงเหมือนเป็นสุสานฝังนักเตะเช่นแฮร์รี่ ขณะที่แมนยู ฯ ได้นักเตะจากลีดส์ไปก่อนแล้วคนหนึ่งชื่อ ริโอ เฟอร์ดินานด์

8. ปีกขวา? : เอล ฮัดจิ ดิยุฟ
เพล์เมกเกอร์หน้าตาเหมือนปวดขี้ทีมชาติเซเนกัลรายนี้ เคยเป็นเจ้าของตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกา เฮียโปนจึงจัดเข้ามาร่วมทีมพร้อมกับดิเยา มาเป็นคู่ขวัญความหวังใหม่ให้ลิเวอร์พูล แต่คู่ดูโอเซเนกัลกลับไม่ได้มีผลงานที่ซาบซ่านซู่ซ่าน่าติดตามเหมือนกับคู่น้องโฟร์-มด แม้แต่น้อย โดยเฉพาะตัวดิยุฟเองที่เดอะคอปส์ฝากความหวังไว้มากหลังจากหมดยุคของแม๊คมานามาน กลับทำได้เพียงมาวิ่งไล่บอลทางกราบขวาและไม่ได้สร้างสรรค์เกมส์เหมือนอย่างนักเตะระดับเทพควรจะเป็นได้เลย ลิเ้วอร์พูลจึงเหมือนถูกหลอกให้ซื้อของที่ย้อมแมว ( ดำ ๆ ) ขาย จนต้องโล๊ะเขาให้ไปได้ดีกับทีมจอมเซ้งอย่างโบลตันในที่สุด


9. กองหน้า : คาร์ลไฮนซ์ รีดเล่


เจ้าของฉายา ” ฉลามล้อคลื่น” ที่ลิเวอร์พูลเซ้งเข้ามาร่วมทีมในขณะที่เขาย่างเข้าวัย 32 ปี ต้องยอมรับกันจริง ๆ ว่า กองหน้าชาวเยอรมันผู้นี้ผ่านจุดสูงสุดของการเล่นฟุตบอลไปแล้ว ( แถมยังเหมือนหมดไฟที่จะประสบความสำเร็จอีกต่างหาก ) แม้ลิเวอร์พูลจะหวังว่าประสบการณ์ของเขาจะมาประคองทีมไว้ได้บ้าง แต่ความเชื่องช้าที่เหมือนมีกระโปกยักษ์มาขวางท่อนขาเอาไว้ หรือความหนักหนาสาหัสของมันที่ทำให้เขากระโดดโหม่งไม่ขึ้นก็สุดจะพรรณาได้ มันได้สร้างคามเบาหวิวอันเหลือทนให้กับเดอะค็อปส์ทั่วโลก คนคู่หงส์ต้องรีบผ่าตัดทีมใหม่หรือไม่ก็รีบผ่าตัดเอา ” ไอ้นั่นออกไปเสียที เพราะทุกคนไม่อาจต้องทนเห็นภาพของ ” ควายล้อคลื่น ” ได้อีกจริง ๆ

10. กองหน้าัตัวรับ : อีมิล เฮสกีย์
อย่าเพิ่งงงกับตำแหน่งการเล่นของกองหน้าคนนี้นะครับ ตำแหน่งกองหน้าตัวรับมีจริง ๆ ครับ เพราะในสมัยเฮียโปนคุมทีมแกได้รังสรรค์ตำแหน่งนี้ขึ้นมาเพื่ออีมิลโดยเฉพาะ เรียกได้ว่า ” โอ้ ลอร่า… เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ “
กองหน้าผู้มีใบหน้าละม้ายกับนักโทษผู้มีพลังวิเศษในเรื่อง The Green Miles รายนี้ ได้สร้างความอึดอัดชนิดลุ้นกันขี้แทบแตกให้กับสาวกหงส์ อีมิลมีช่วงเวลาที่ไม่สามารถทำประตูได้นับสิบนัด แต่นั่นอาจเป็นธรรมชาติของคนที่เกิดมาเพื่อรับบทกองหน้าตัวรับก็ได้ ยังไงเขาก็ได้ซ้อมเกมรับของทีมจนรอดพ้นการเสียประตูอยู่หลายครั้ง เดอะค็อปส์ส่วนใหญ่จึงให้อภัยและไม่มีวันลืมเลือนเขา และบางทีในฤดูกาลหน้า เราอาจเห็นเขากลับมาสวมเสื้อสีแดงเพลิงอีกก็เป็นได้…?? จึ๋ยส์

11. กองหน้า? : อีริค ไมเยอร์
ถือเป็นกองหน้าอีกรายที่เข้ามาโลดแล่นสร้างสีสันในแอนฟิลด์พร้อมกับคาร์ลไฮนซ์ รีดเล่ เป็นที่ทราบกันดีว่าในขณะนั้นกองหน้าดัตซ์รายนี้ คือดาวซัลโวอันดับต้น ๆ ในเวทีบุนเดสลีกา ผมไม่ทราบว่ามันไปเข้าตาของคนคู่หงส์ตอนไหน แต่บางทีลึก ๆ แล้วพวกเขาอาจคาดหมายว่า ” อีริค” สามารถทาบชั้นกับอีกอีริค ( Eric? “The King”? Cantona ) ของอีกค่ายก็เป็นได้ แต่ที่นี่คือพรีเมียร์ลีคอังกฤษ ลีคที่สร้างบททดสอบว่าผู้อยู่รอดเท่านั้นคือ ” ของจริง ” และอีริค ไมเยอร์ คือคนที่ไม่อาจผ่านบททดสอบนั้นได้ เขาถูกจับ ” ดอง ” เป็นศูนย์หน้าม้ายาวอยู่นานมาก แต่เมื่อได้รับโอกาสแสดงฝีเท้า เขาเหมือนกลายเป็นตัีวอะไรที่มาเล็มหญ้าบนสนามแอนฟิลด์-เหมือนเด็กอ่อนหัดที่เพิ่งหัดเล่นฟุตบอลใหม่ ๆ จนผมเชื่อว่าเดอะค็อปท์ในสนามอยากจะขอเปลี่ยนตัวเขาแล้วลงไปเตะเองเสียก่อนที่เมื่อเกมส์จบแล้ว ” ขี้ ” จะเกลื่อนสนาม?????? นั่นแหละครับ??? เขา …………?? Eric ” The Kway”
ที่มา http://www.herothailand.com/blog/archives/43

เจ้าของสโมสรลิเวอร์พูลคนใหม่ เขาคือใคร? มั่นคงจริง?

หลังจากที่หนังเรื่องยาวของชาวลิเวอร์พูลจบลงอย่างชื่มมื่นด้วยการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรจากกลุ่มนิว อิงค์แลนด์ สปอร์ต เวนเจอร์(NESV) ที่มีจอห์น เฮนรี่นักธุรกิจชาวสหรัฐเป็นเจ้าของ ทำให้นักเตะและแฟนบอลของลิเวอร์พูลหายใจได้โล่งปอดมากขึ้น แต่อาจมีหลายคนสงสัยว่าในอนาคตต่อไปสโมสรอันเป็นที่รักของพวกเขาจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง หลังจากที่เคยมีประสบการณ์การเทคโอเวอร์จากนักธุรกิจชาวสหรัฐเมื่อปี 2007

แต่สำหรับตอนนี้สิ่งที่เหนือไปกว่าการมองไปที่อนาคต คือสภาพทีมปัจจุบันภายใต้หัวเรือใหม่ หงส์แดงต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าเอาตัวรอดจากอันดับที่ 18 ท้ายตารางให้ได้

จอห์น เฮนรี่ เผยผ่านทวิตตเตอร์ส่วนตัวหลังจากที่เข้าเทคโอเวอร์สโมสรได้สำเร็จว่า รู้สึกภาคภูมิใจมาก ตั้งใจจะใช้ผลงานและการกระทำเพื่อพิสูจน์ตนเอง โดยให้ความเชื่อมั่นว่าคติประจำใจในการทำงานคือ"ชัยชนะ" แต่เจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าต้องใช้เวลา 3 ปีในการทำงานเพื่อพาหงส์แดงกลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง

นักธุรกิจเจ้าแห่งการแลกเปลี่ยนซื้อขายวัย 61 ปีผู้นี้ เกิดที่ย่านควินซี่ รัฐอิลลินอยส์ มีความชื่นชอบในกีฬาเบสบอลตั้งแต่กำเนิด มีทีมโปรดเป็นทีมเซนต์ หลุยส์ คาร์ดินาลส์ ทั้งนี้ จากคำบอกกล่าวของจอห์น แดมการ์ด ประธานของสหพันธ์ฟิวเจอร์ อินดัสทรี่ เผยว่าความชอบในเรื่องตัวเลขนั้นมีที่มาจากความชื่นชอบในกีฬาเบสบอล

เมื่อเข้าวัย 26 ปี เฮนรี่ได้รับมรดกฟาร์มจากครอบครัวและใช้พรสวรรค์ในทางธุรกิจเปลี่ยนฟาร์มของตัวเองจนประสบความสำเร็จและต่อยอดมาเรื่อยๆ ช่วงก่อนหน้าที่เฮนรี่จะเป็นผู้ถือครองทีมบอสตัน เร้ด ซอกส์ ทีมเบสบอลในสหรัฐ เฮนรี่ยังถือครองหุ้นส่วนหนึ่งของทีมฟลอริด้า มาร์ลินส์ และทีมนิวยอร์ค แยงกี้ ยอดทีมเบสบอลขวัญใจแฟนกีฬาชาวสหรัฐกว่าครึ่ง จนมาถึงในปี 2002 เฮนรี่จึงทำสถิติเข้าครอบครองบอสตัน เร้ดที่มูลค่า 700 ล้านดอลลาร์ สองปีต่อมาเฮนรี่พาทีมบอสตันคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 86 ปี ยุติฝันร้ายของสโมสร ไม่เพียงแค่นั้นนำความสำเร็จมาาสู่ทีมอีกครั้งในปี 2007

โดยกลุ่ม NESV ของจอห์นไม่เพียงแต่จะเป็นเจ้าของบอสตัน เร้ด ซอกส์ ยังถือหุ้นในกลุ่มเครือข่ายโทรทัศน์ในท้องถิ่นอีกถึง 80 % เป็นเจ้าของหุ้นของทีมโรช เฟนเวย์ เรสซิ่ง ในแนสคาร์ รายการแข่งรถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งในสหรัฐ และยังเป็นฐานทางการตลาดที่สนับสนุนกลุ่มธุรกิจทางกีฬาอื่นๆอีก ซึ่งมีนักธุรกิจทางกีฬาคาดการณ์ว่าหากจอห์นขาย NESV ไปในตลาดจะมีมูลค่าถึง 1.6-1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

จากการจัดอันดับของ "ฟอร์บส" นิตยสารชื่อดัง ฟอร์บส์จัดลำดับทีมบอสตัน เร้ด ซอกส์ และโรชเฟนเวย์ไว้เป้นอันดับที่ 2 ในรายชื่อ แบรนด์การกีฬาที่มีมูลค่าสูงที่สุดในบรรดากีฬาต่างๆในปี 2010 ที่ 840 ล้านเหรียญ และ240 ล้านเหรียญตามลำดับ อย่างไรก็ตามในช่วงต้นปี 2009หากลองหักมูลค่าไปโดยประมาณคาดว่ากลุ่ม NESV จะมีมูลค่าที่ 1.1 ล้านเหรียญ ซึ่งทางฟอร์บส์ก็ไม่ได้จับเฮนรี่เข้าในรายชื่อของบรรดาเศรษฐีพันล้านทั้งหลายแหล่

แต่ก็ไม่ใช่ว่าที่เฮนรี่จับต้องจะกลายเป็นเงินเป็นทองไปซะทุกอย่าง จากภาวะที่ฝืดเคืองของเศรษฐกิจในสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจอห์น ดับบลิว เฮนรี่ และโบคา ราตัน ของจอห์น เฮนรี่เองก็ประสบกับภาวะรายได้ถดถอยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจของเฮนรี่ยังคงเป็นกลุ่มที่น่าอิจฉามากที่สุดกลุ่มหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นกลุ่มบริษัทประกอบการที่มีความแข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่งในโลกจากการวิเคราะห์ของ"GlobalAnalytics"หน่วยงานวิจัยทางสถิติในซาน ดิเอโก โดยพบว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ทำรายได้โดยเฉลี่ยในแต่ละปีที่ 12% นับตั้งแต่เริ่มทำการเมื่อปี 1997 นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทในเครือของเฮนรี่ที่อยู่ในสายธุรกิจด้านโลหะและสัญญาทางการลงทุนต่างๆมีรายรับได้ถึง 21 % ต่อปีตั้งแต่ปี 1984 ที่เริ่มกิจการมา โดยตัวเลขเหล่านี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจมากทีเดียวในทัศนะของผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ทางการลงทุน

ในขณะที่สถานการณ์ทางการเงินและการบริหารสโมสรเริ่มคลี่คลาย ทีมได้ฐานการเงินและการบริหารที่มีความมั่นคงมีความน่าเชื่อถือในระดับสูง ชาวลิเวอร์พูลคงต้องเริ่มมุ่งมั่นเก็บแต้ม ดันตัวเองให้หลุดจากโซนตกชั้นให้ได้ ซึ่งปราการด่านแรกหลังจากที่เพิ่งฝ่ามรสุมมาก็ถือว่าหนักหนาสาหัส ต้องออกไปเยือนของเอเวอร์ตันคู่ปรับร่วมถิ่นเมอร์ซี่ย์ไซด์หนำซ้ำยังเป็นทีมร่วมโซนตกชั้นเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ คาดว่าจอห์น เฮนรี่ เจ้าของสโมสรจะปรากฎตัวขึ้นที่สนามในวันที่ 24 ตุลาคมในนัดที่หงส์แดงจะเปิดสนามพบกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส มากกว่าที่จะโผล่มาที่สนามของคู่ปรับอย่างเอเวอร์ตัน แฟนของหงส์แดงคงต้องอดใจรอคอยและให้กำลังใจทีมหงส์แดงที่เหมือนชุบตัวกลับมาต่อสู้ล่าฝันอีกครั้งหนึ่ง

แปลและเรียบเรียงจากบทความของรอยเตอร์
ที่มา: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1287221461&grpid=01&catid=

รำลึก บ๊อบ เพสลี่ย์ ยอดกุนซือตำนานหงส์แดง


"ถ้าหากคุณจะยกย่องใครสักคนว่าเป็นผู้จัดการทีมที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาล ก็อาจจะต้องมีการถกเถียงวิเคราะห์กันยาวว่าสมควรหรือไม่ แต่ในกรณีของ บ๊อบ เพสลี่ย์ ผมกล้าพูดได้เลยว่าเขาเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในแผ่นดินนี้ นับตั้งแต่มีเกมลูกหนังเป็นต้นมา" เคนนี่ ดัลกลิช สดุดีถึง เพสลี่ย์

หากเอ่ยถึงชื่อกุนซือนามว่า "บ๊อบ เพสลี่ย์" แล้ว เหล่าสาวกเดอะ ค็อป ตัวจริงทั้งหลายคงไม่มีใครหรอก ที่ไม่รู้จักชายผู้ที่มีสัญลักษณ์การแต่งกายในการคุมทีมด้วยเสื้อนอกผ้าขนสัตว์ กับหมวกทรงแบนผู้นี้ ซึ่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ เป็นวันครบรอบ 10 ปี แห่งการจากไปของสุดยอดผู้จัดการทีมคนหนึ่งที่เคยมีมาของถิ่นแอนฟิลด์

"โรเบิร์ต บ๊อบ เพสลี่ย์" เกิดเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 1919 ในหมู่บ้านชาวเหมืองที่ เฮตตัน ลี โฮล เขตเดอร์แฮม ซึ่งอยู่ห่างจากซันเดอร์แลนด์ประมาณเจ็ดไมล์

บ๊อบ เริ่มต้นการค้าแข้งกับทีมสมัครเล่น บิชอป อ๊อคแลนด์ ในปี 1937 ก่อนที่ชีวิตของเขาจะเริ่มต้นความผูกพันกับทีมหงส์แดงที่ยาวนานต่อมาถึงครึ่งศตวรรษเลยทีเดียว บ๊อบ เซ็นสัญญากับลิเวอร์พูล ในวันที่ 8 พ.ค. 1939 และได้รับใช้สโมสรในฐานะนักเตะนานถึง 15 ปีด้วยกัน ก่อนที่เขาจะยุติการค้าแข้งหลังสิ้นสุดฤดูกาล 1953-54 ซึ่งในซีซั่นนั้น ลิเวอร์พูลได้อันดับสุดท้ายของลีกสูงสุด ทำให้ต้องร่วงลงมาเล่นในดิวิชั่น 2

บ๊อบ ผันตัวเองไปอยู่เบื้องหลัง โดยรับตำแหน่งเป็นสตาฟฟ์โค้ช ดูแลทีมสำรองของลิเวอร์พูล และในปีที่ 3 ของการคุมทีมสำรองของเขา บ๊อบ ได้พาทีมสำรองของลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เซนทรัล ลีก ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเป็นต้นมา ก่อนที่ในเดือน ส.ค. 1959 บ๊อบ จึงได้เลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นมาเป็นสตาฟฟ์โค้ชของทีมชุดใหญ่

ซึ่งในช่วงเดือนธันวาคมปีเดียวกันนี้เอง "บิลล์ แชงค์ลี่ย์" กุนซือชาวสกอตต์ได้ก้าวเข้ามาคุมบังเหียนทีมหงส์แดง บิลล์ กับ บ๊อบ คุมทีมด้วยกัน 784 นัด ตลอดระยะเวลา 14 ปีครึ่ง บ๊อบ ทำงานในตำแหน่งโค้ชทีมชุดใหญ่จนถึงปี 1971 ก่อนที่จะได้เป็นผู้ช่วย บิลล์ จนถึงปี 1974

จนกระทั่งในเดือน ก.ค. 1974 บิลล์ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล และก็เป็น บ๊อบ เพสลี่ย์ ที่ได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแทนด้วยวัย 55 ปี สืบทอดตำนานความยิ่งใหญ่ของ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ และสามารถสร้างหงส์แดงให้เกรียงไกรยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก

ลิเวอร์พูลได้อันดับที่ 2 ของลีกสูงสุด จากการคุมทีมในฤดูกาลแรกของเขา แต่หลังจากนั้นตลอด 8 ฤดูกาลให้หลัง ความสำเร็จก็ได้หลั่งไหลเข้ามาในถิ่นแอนฟิลด์อย่างไม่ขาดสาย เปรียบดังตัวเขาเป็นผู้สร้างเทพนิยายแห่งแอนฟิลด์

เริ่มต้นด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งลีกดิวิชั่น 1 และถ้วยยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 1975-76 แต่ไฮไลต์สำคัญในการคุมทีมของ บ๊อบ อยู่ในช่วงทั้ง 2 ฤดูกาลถัดมา เมื่อตัวเขาสามารถพาทีมป้องกันแชมป์ดิวิชั่น 1 เอาไว้ได้ พร้อมกันนั้นยังเป็นผู้จัดการทีมสายเลือดอังกฤษคนแรกที่พาทีมจากแดนผู้ดีคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ โดยเอาชนะ มึนเช่นกลัดบัค จากเยอรมัน ได้ที่กรุงโรม 3-1 ซึ่งเป็นเกียรติยศครั้งแรกของสโมสรในถ้วยใบนี้อีกด้วย

ในฤดูกาล 1977-78 เพสลี่ย์ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นโอบีอี พร้อมทั้งสามารถพาทีมป้องกันแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ เอาไว้ได้อีกครั้ง ด้วยชัยชนะเหนือ เอฟซี บรูช จากเบลเยียม ที่เวมบลีย์ 1-0

บ๊อบ ใช้เวลาไม่ถึงสี่ปีสร้างความสำเร็จให้ลิเวอร์พูลอย่างมากมาย แม้ว่าหงส์แดงจะประสบชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แต่เพสลี่ย์ก็ไม่เคยหลงระเริง เขายังคงติดดิน มองโลกตามที่เป็นจริง และปลูกฝังให้สโมสรที่เขารักมีรากฐานแข็งแกร่ง ไม่ฟุ้งเฟ้อลืมตัว ทุกคนในทีมลิเวอร์พูลจะต้องมุ่นมั่นทำงานหนักต่อไปเพื่ออนาคต มิใช่ลุ่มหลงอยู่กับชื่อเสียงเดิมๆ

ฤดูกาล 1980-81 บ๊อบ พาทีมหงส์แดงปราบ รีล มาดริด ที่สนาม ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ ที่ประเทศฝรั่งเศส 1-0 คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เป็นครั้งที่ 3 ในการคุมทีมของเขา พร้อมกันนั้น เขายังได้ทำลายอาถรรพ์ จารึกชื่อลิเวอร์พูลไว้ในถ้วยแชมป์ ลีก คัพ ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกของสโมสรอีกด้วย

บ๊อบ เริ่มจะคิดถึงการเกษียณอายุ และได้เลือกเดอร์แฮมถิ่นเกิดเป็นสถานที่ประกาศว่าฤดูกาล 1982-83 จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาในการคุมทีมหงส์แดง

"ผมจะทำงานนี้ต่อไปอีก 12 เดือน ซึ่งก็จะเท่ากับว่า ผมอยู่ที่ลิเวอร์พูล 44 ปีเต็ม จากนั้น ผมก็จะส่งมอบตำแหน่งให้ผู้จัดการทีมคนต่อไป หลายปีที่ผ่านมาเราพบกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย เมื่อผมมีความเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะดำเนินต่อไปได้ราบรื่น ก็ย่อมหมายความว่าถึงเวลาที่ผมจะวางมือได้อย่างสบายใจแล้ว"

ในฤดูกาลสุดท้ายของการคุมทีม เพสลี่ย์ พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ซึ่งเป็นแชมป์ครั้งที่ 6 ตลอดช่วง 9 ฤดูกาล ที่เขาคุมทัพ แถมยังพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ ได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน

แล้วฤดูกาล 1982-83 ก็ดำเนินมาถึงเกมเหย้านัดสุดท้ายของหงส์แดง แอสตัน วิลล่า เป็นฝ่ายมาเยือน ผลการแข่งขันเสมอกันไป 1-1 แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจผลการแข่งขันเท่าไรนัก เพราะนัดนี้จะเป็นเกมอำลาแอนฟิลด์ของ "บ๊อบ เพสลี่ย์"

ซึ่งก่อนเกมการแข่งขัน ได้มีการรับมอบถ้วยแชมป์ดิวิชั่น 1 นอกจากนั้น บ๊อบ ยังได้รับรางวัลส่วนตัว โดยเป็นโล่เกียรติยศจากรอยัล ดาลตัน มีข้อความจารึกว่า "ผู้จัดการทีมที่สร้างสถิติยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล"

และเมื่อยอดผู้จัดการทีมในชุดเสื้อฝนที่แฟนๆเห็นกันจนชินตาชูถ้วยรางวัลขึ้น เสียงเชียร์และเสียงร้องเรียก "บ๊อบ เพสลี่ย์" ก็ดังกระหึ่มไปทั่วสนาม จากนั้น เขาก็หันหลังกลับเดินเข้าไปในอุโมงค์ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะเดินบนเส้นทางนี้ในฐานะผู้จัดการทีมหงส์แดง ผู้สร้างตำนานความสำเร็จที่เหนือกว่าสถิติใดๆในวงการฟุตบอล

วันที่ เพสลี่ย์ อำลาเหล่าเดอะ ค็อป นั้น เขามีอายุได้ 64 ปีเต็ม อยู่ในแอนฟิลด์มานานกว่าครึ่งชีวิต ขาดอีกเพียงวันเดียวก็จะครบ 44 ปี หลังจากนั้น บ๊อบ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารสโมสรลิเวอร์พูล ก่อนที่ บ๊อบ จะป่วยล้มป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ และได้ถึงแก่กรรมในวันวาเลนไทน์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 1996 รวมอายุได้ 77 ปี

ด้าน เดวิด มัวร์ ประธานสโมสรก็ได้กล่าวยกย่องถึง เพสลี่ย์ ว่า "บ๊อบรู้จักนักเตะและเชี่ยวชาญศาสตร์ฟุตบอลชนิดที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ ไม่มีผู้จัดการคนไหนในวงการลูกหนังที่จะประสบความสำเร็จกวาดรางวัลได้มากเท่ากับเขา บ๊อบนำสโมสรของเราคว้าชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่เขาไม่เคยหยิ่งผยอง ยังคงถ่อมตัวเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา ชื่อของเขาจะอยู่คู่กับสโมสรลิเวอร์พูลตลอดไป"

และจากผลงานของลิเวอร์พูลในยุคปัจจุบันนี้ เชื่อว่าเหล่าบรรดาผู้อุทิศตนเป็นสาวกเดอะ ค็อป ทั้งหลาย ได้แต่หวังไว้ว่า ราฟาเอล เบนิเตซ จะเป็นบุรุษผู้ที่เข้ามาสร้างความเกรียงไกรให้แก่ทีมหงส์แดงได้อีกครั้ง เฉกเช่นดังชายผู้นี้ "บ๊อบ เพสลี่ย์" ...

เกียรติยศถ้วยแชมป์ของ บ๊อบ เพสลี่ย์ กับลิเวอร์พูล
ดิวิชั่น 1 อังกฤษ : 1975-76, 1976-77, 1978-79, 1979-80, 1981-82, 1982-83
ลีก คัพ : 1980-81, 1981-82, 1982-83
แชร์ลิตี้ ชิลด์ : 1975-76, 1976-77, 1978-79, 1979-80, 1981-82
ยูฟ่า คัพ : 1975-76
ยูโรเปี้ยน คัพ : 1976-77, 1977-78, 1980-81
ซูเปอร์ คัพ : 1977
ที่มา http://football.sanook.com/talk/09462.php?page=25

50 ตำนานลูกหนังของหงส์แดง


เช่นเดียวกับสื่อหลายฉบับ หลายสำนัก ที่มักทำการจัดอันดับเรื่องราวอันหลากหลายซึ่งครอบคลุมทุกส่วนของโลกกีฬา เพียงแต่ เดอะ ไทม์ส หนังสือพิมพ์เมืองผู้ดีจะมีจุดเด่นที่แตกต่างสำนักอื่นๆ อยู่สักหน่อย

เพราะขณะที่สื่อส่วนใหญ่จะจัด "ท็อปเท็น" หรือ 10 อันดับเรื่องราวแต่ละสาขา เดอะ ไทม์ส มักจะมาทีเดียวถึง 50 อันดับกันเลย ซึ่งล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับนี้ก็เพิ่งทำจัดอันดับท็อป 50 เอาใจสาวกหงส์แดงว่าด้วย 50 นักเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลของลิเวอร์พูล ซึ่งมีผู้เล่นชั้นเลิศจากอดีตถึงปัจจุบันติดโผเข้ามามากมาย

ที่เซอร์ไพรส์สุดสุดคงไม่พ้น เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าชาวสเปน ซึ่งแม้จะเพิ่งย้ายจาก แอตเลติโก้ มาดริด มายังถิ่นแอนฟีลด์เมื่อปี 2007 แต่ได้รับการยอมรับว่าสร้างผลงานยอดเยี่ยมให้ทีมจนติดเข้ามาในอันดับ 50 ซึ่งเดอะ ไทม์ส หมายเหตุไว้ด้วยว่า ถ้าเขายังเล่นให้ลิเวอร์พูลต่อไปเรื่อยๆ วันที่จะได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ในอันดับท็อปเท็นย่อมอยู่ในระยะเอื้อมถึงอย่างแน่นอน

ขยับขึ้นไปอันดับที่ 48 คือ บรู๊ซ กร็อบเบลาร์ นายทวารผู้ลงเฝ้าเสาให้หงส์แดงถึง 628 นัด อันที่จริงผลงานของกร็อบเบลาร์ถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะลูกเล่นจิตวิทยากดดันนักเตะ โรม่า ในการดวลจุดโทษรอบชิงฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพ เมื่อปี 1984 แต่เหตุผลที่ทำให้เขาไม่ได้ติดอันดับสูงกว่านี้ก็เพราะข่าวอื้อฉาวเรื่องพัวพันการล้มบอลนั่นเอง

หลายปีต่อมา ลีลาขยับแข้งขาของกร็อบเบลาร์ก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งโดย เจอร์ซี่ ดูเด็ก (อันดับ 42) ซึ่งช่วยให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05 ไปครอง และว่ากันว่าคนที่ควรได้เครดิตจากลีลานี้ไม่แพ้กันคือ เจมี่ คาร์ราเกอร์ กองหลังรุ่นลายครามของสโมสรซึ่งเป็นคนบอกให้นายทวารชาวโปแลนด์ทำอย่างนั้น


ด้วยฝีเท้า ความภักดี และอารมณ์ร่วมที่เขามีต่อเกม คาร์ราเกอร์จึงเป็นหนึ่งในนักเตะยุคปัจจุบันไม่กี่คนที่ติดโผ 50 อันดับผู้เล่นหงส์แดงที่ดีที่สุดตลอดกาลมาด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกันแล้ว เขาได้รับเลือกให้อยู่สูงถึงอันดับที่ 9 ขณะที่กองหลังร่วมยุคอีกรายอย่าง ซามี่ ฮูเปีย รั้งอันดับที่ 46

เมื่อเอ่ยถึงแชมป์ยุโรปหนล่าสุดของหงส์แดงที่ถูกขนานนามว่า ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล แล้ว จะไม่กล่าวชื่อ ดีตมาร์ ฮามันน์ (อันดับ 26) กองกลางตัวรับจากเมืองเบียร์เลยก็คงไม่ถูกต้องนัก

แน่นอนว่าค่ำคืนนั้นมี "ฮีโร่" ที่ควรได้รับการยกย่องมากมาย แต่เดอะ ไทม์ส บอกว่า ทั้งหมดเริ่มต้นจาก "ดีดี้" คนนี้นี่แหละ เพราะขณะที่ครึ่งแรก กาก้า เพลย์เมกเกอร์เอซี มิลาน มีอิสระในการเล่นจนยอดทีมจากอิตาลีนำไปถึง 3-0 ฮามันน์ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาในครึ่งหลังสามารถหยุดกาก้าได้อยู่หมัด และปาฏิหาริย์ก็เริ่มต้นจากตรงนั้นเอง...

เอ่ยถึงแนวรับกันไปแล้ว ลองไปดูที่แนวรุกของทีมกันบ้าง เพราะแต่ละยุคสมัย ลิเวอร์พูลมักจะมีกองหน้าหรือกองกลางที่สร้างสรรค์เกมรุกอันยอดเยี่ยมจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงเรื่อยมา ถ้าใกล้ตัวเราสักหน่อยก็คือ ไมเคิล โอเว่น (อันดับ 19) ผู้ทำไปถึง 158 ประตู ในการลงสนาม 297 นัด และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (อันดับ 14) ที่ว่ากันว่าแฟนๆ ไม่ใช่แค่รักการทำประตูของเขา แต่ยังรักลีลาการแสดงความดีใจที่ไม่วายแอบกัดคู่แข่งสำคัญของหงส์แดงอย่างเจ็บๆ คันๆ อีกต่างหาก
...สำหรับ 2 อันดับสุดท้ายเชื่อว่าถึงตรงนี้หลายคนอาจจะพอเดาได้ว่าน่าจะเป็นใคร เพราะจนถึงตรงนี้ยังไม่ปรากฏชื่อ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด (อันดับ 2) กัปตันทีมหงส์แดงชุดปัจจุบัน ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้เป็นที่รักแบบเต็มร้อยจากเหล่าเดอะ ค็อป นัก แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ทุกครั้งที่สตีวี่จีอยู่ในสนาม เกมของหงส์แดงดีกว่าตอนไม่มีเขามากทีเดียว
และท้ายที่สุดบนหัวตารางของสุดยอดนักเตะลิเวอร์พูล เดอะ ไทม์ส มอบเกียรติประวัตินี้ให้แก่ เคนนี่ ดัลกลิช ผู้มีส่วนในตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดของหงส์แดง 8 สมัยทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีม

เดอะ ไทม์สให้เครดิตว่า ในช่วงรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนยุคตำนานลูกหนังโลกจาก โยฮัน ครัฟฟ์ สู่ ดีเอโก้ มาราโดน่า น่าจะไม่มีนักเตะคนไหนโดดเด่นไปกว่าดัลกลิชอีกแล้ว!

แฟนบอลลิเวอร์พูลจากอดีตถึงปัจจุบันล้วนแต่รักและชื่นชมเขา แน่นอนว่าพรสวรรค์ที่หาตัวจับยากคือเหตุผลหนึ่ง แต่เหตุผลที่ใหญ่ยิ่งกว่าก็คือ "ความใจกว้าง" ที่ช่วยฉุดให้ทั้งทีมพัฒนาไปพร้อมๆ กันนี่เอง!

หรือถ้าถอยหลังไปสักนิดในปลายยุค 80 คือแนวรุกสามประสานที่ประกอบด้วย จอห์น บาร์นส์ (อันดับ 3) ปีกจอมเลี้ยงบอล จอห์น อัลดริดจ์ (อันดับ 27) ซึ่งมีสถิติการทำประตู 1 ลูกทุกๆ 1.6 เกม (ยิง 63 ประตูจาก 104 นัด) และ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ (อันดับ 44) ที่ทำให้เดอะ ไทม์ส โดนคนอ่านวิจารณ์มากมายเพราะจัดอันดับให้เขาอยู่ต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับฝีเท้า สไตล์ และสายตาอ่านเกมที่เด็ดขาดที่ช่วยให้หงส์แดงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมา 2 สมัย

อ้อ! อีกคนที่ตกสำรวจไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือ เอียน รัช (อันดับ 11) ดาวยิงระดับตำนานที่ซัลโวไป 346 ประตู ในการลงเล่น 660 นัด โดยลีลาที่พีคที่สุดของเขาคือการสังหาร 4 ประตูพาทีมพิชิตคู่รักคู่แค้น เอฟเวอร์ตัน เมื่อปี 1982

ท้ายที่สุดขอเข้าสู่อันดับท็อปเท็นอื่นๆ ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงกันบ้าง ในอันดับ 10 คือ โรเจอร์ ฮันต์ หนึ่งในกองหน้าที่เป็นที่เกรงขามที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษในยุค 60 ส่วนอันดับ 8 คือ บิลลี่ ลิดเดลล์ ปีกซ้ายผู้นำทัพในยุค 50 จนหงส์แดงถูกเรียกขานว่า ลิดเดลล์พูล ในยุคนั้น และอันดับ 7 อลัน แฮนเซ่น เซ็นเตอร์ฮาล์ฟผู้ร่วมคว้าทริปเปิลแชมป์กับทีมในฤดูกาล 1983-84

เควิน คีแกน ยอดกองหน้าผู้ทุ่มเทและวิ่งไล่บอลไปทั่วสนามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของหงส์แดงยุค 70 ติดโผในอันดับที่ 6 ขณะที่ ทอมมี่ สมิธ ผู้ทำประตูชัยในนัดชิงยูโรเปี้ยนคัพเมื่อปี 1977 อยู่อันดับ 5 และ แกรม ซูเนสส์ ในอันดับ 4 คือกองกลางอเนกประสงค์ที่ดีที่สุดคนหนึ่งของวงการลูกหนังเมืองผู้ดี

ที่มา มติชนรายวัน 18 กุมภาพันธ์
ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=399448

นักเต๊ะที่ย้ายเข้า ฤดูกาล2011-2012

1. Jordan Henderson (จาก Sunderland) 16 ล้านปอนด์


2. Charlie Adam (จาก Blackpool) 6.5 ล้านปอนด์


3. Alexander Doni (จาก AS Roma) ฟรี


4. Stewart Downing (จาก Aston Villa) 18 ล้านปอนด์


5. Jose Enrique (จาก Newcastle Utd) 5.5 ล้านปอนด์


6. Sebastian Coates (จาก Nacional) 7 ล้านปอนด์


7. Craig Bellamy (จาก Man City) ฟรี

ที่มา http://www.hotleague.com/column/view/1032.asp?clmcode=1032

ลิเวอร์พูลเยือนไทยครั้งแรก

ตำนานแข้ง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ขนดาวดัง เอียน รัช, จอห์น บาร์น, ร็อบบี ฟาวเลอร์,

สตีฟ แม็คมานามาน ยกพลดวลอดีตทีมชาติไทย ที่นำทัพโดย ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน, "ซิโก้"
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง วันที่ 2 ต.ค. ที่ภูเก็ต และ 5 ต.ค. ที่กรุงเทพฯ
นายคริส โรเซนเบิร์กส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ท สคอร์บอร์ด กรุ๊ป ในฐานะประธานการจัดการแข่งขัน
ศึกฟาดแข้งรายการพิเศษ “ตำนานลิเวอร์พูลทัวร์ไทยแลนด์ 2011” ฟุตบอลการกุศลที่อดีตดาวดังหงส์แดง ลิเวอร์พูล
จะยกพลมาปะทะกับอดีตนักเตะทีมชาติไทย เปิดเผยว่า การแข่งขันดังกล่าวจะเป็นการชิงถ้วยรางวัลจากนายกรัฐมนตรี
มีการดวลแข้งทั้งหมด 2 ครั้ง คือ นัดแรกจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม เวลา 15.00 น.
ที่สนามธัญญปุระ สปอร์ต แอนด์ เลเชอร์ คลับ จ.ภูเก็ต และวันพุธที่ 5 ตุลาคม เวลา 19.00 น. ที่สนามศุภชลาศัย
สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ แฟนๆ หงส์แดงในเมืองไทย จะได้พบกับอดีตตำนานนักเตะอย่าง จอห์น บาร์น, เอียน รัช,
ซามี ฮูเปีย วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์, แพททริก เบอร์เกอร์, สตีฟ แม็คมานามาน, ร็อบบี ฟาวเลอร์ ฯลฯ
นำทีมโดย อลัน เคนเนดี อดีตนักเตะผู้ยิ่งใหญ่ของหงส์แดง ที่นำทีมคว้าแชมป์ในศึกฟาดแข้งยูโรเปี้ยนคัพถึง 2 ครั้งด้วยกัน
ที่จะอยู่ในฐานะผู้จัดการทัวร์ พาบรรดาอดีตดาวดังมาดวลแข้งกับอดีตซูเปอร์สตาร์นักเตะไทยซึ่งนำทีมโดย "เดอะตุ๊ก"
ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน และ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง

นายโรเซนเบิร์กส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นักเตะของทั้งสองทีมต่างเป็นสุดยอดฝีมือ และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก จึงนับว่าเป็นเกมที่
ดุเดือด และเป็นนัดฟาดแข้งพิเศษที่แฟนลูกหนังพลาดไม่ได้ โดยรายได้จากการขายบัตรของแมทช์ดังกล่าวจะมอบให้
มูลนิธิบ้านฟุตบอลเยาวชนภูเก็ต และเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนานักเตะยุวชนในประเทศไทย ซึ่งในระหว่างการทัวร์
ของอดีตนักเตะหงส์แดงในไทยทั้ง 8 วัน ครั้งนี้ ยังจัดให้มีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจเพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนาวงการ
ฟุตบอลโดยภาพรวมของไทยอีกด้วย อาทิ การจัดฟุตบอลคลินิก และระดมทุนเพื่อการกุศล
ที่มา :www.oknation.net/blog/Redsscouser/2009/03/30/entry-1

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ประวัติผู้จัดการทีม ปัจจุบัน


หลังจากเหตุการณ์ "เฮย์เซล สเตเดียม" ในปี 1985 ที่มีแฟนบอลยูเวนตุสเสียชีวิตไปถึง 39 ศพทำให้โจ ฟาแกนตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล, โดยดัลกลิชถูกแต่งให้เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ควบกับตำแหน่งผู้เล่นไปด้วยซึ่งถือว่าเป็นฤดูกาลที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากมายในแอนฟิลด์, ในฤดูกาล 1985/86 ลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีกครั้งโดยมีแต้มมากกว่าทีมเอฟเวอร์ตันเพียง 2 แต้ม (โดยดัลกลิชเป็นคนทำประตูชัยในการพบการเชลซี ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล) ต่อมาดัลกลิชยังพาทีมเอาชนะเอฟเวอร์ตัน 3-1 ในรอบชิงชนะเลิศรายการเอฟเอ คัพได้อีกด้วย

ดัลกลิชสามารถพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งได้ในฤดูกาล 1987/88 โดยเค้าได้เซ็นต์สัญญาคว้าตัวปีเตอร์ เบียดลีย์มาจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดมาเสริมทีมเพียงคนเดียว, โดยในยุคที่ดัลกลิชเป็นผู้จัดการทีมเค้าได้ปรับแต่งทีมลิเวอร์พูลให้เป็นทีมที่มีการเล่นที่น่าดูไม่ว่าจะเป็นในด้านความสวยงาม, ความแข็งแกร่ง และด้านเอ็นเตอร์เทนแฟนบอล โดยดัลกลิชยังได้เซ็นสัญญาคว้าตัวจอห์น อัลดริดจ์จากอ๊อกฟอร์ดมาทดแทนการขาดหายไปของเอียน รัชที่ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส, นอกจากนนั้นดัลกลิชยังจัดการคว้าตัวจอห์น บาร์นส์มาจากวัตฟอร์ดเพื่อเค้ามาประสานงานกับอลัน แฮนเซ่น, รอนนี วีแลน, สตีฟ แม็คมาฮอน, มาร์ค ลอเรนสัน และสตีฟ นิโคล, โดยในฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดีเยี่ยมโดยไม่แพ้ใครในลีก 29 เกมติด โดยชนะ 22 และเสมอ 7 โดยจบฤดูกาลนั้นดัลกลิชพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้ง แต่ลิเวอร์พูลก็ไปแพ้พลิกล็อกต่อวิมเบิลดันในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ

โดยในปี 1989 ดัลกลิชพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้สำเร็จหลังจากเอาชนะเอฟเวอร์ตันในรอบชิงชนะเลิศได้ แต่ก็ต้องผิดหวังในฟุตอบอลลีกเมื่อก่อนจะลงเล่นนัดสุดท้ายลิเวอร์พูลนำอาร์เซน่อลอยู่ 3 แต้มและต้องการผลเสมอเท่านั้นหรือแพ้ไม่เกิน 1 ลูกเป็นอย่างน้อย แต่ประตูของไมเคิล โทมัสที่ยิงให้อาร์เซน่อลชนะ 2-0 ก็ทำให้อาร์เซน่อลเบียดลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกไปครองด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า

ดัลกลิชอยู่ในเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโรด้วย มีแฟนบอลลิเวอร์พูลเสียชีวิตไปถึง 96 ศพในวันที่ 15 เมษายน 1989 ในรายการเอฟเอ คัพรอบรองชนะเลิศที่พบกับน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ โดยดัลกลิชเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ผู้เสียชีวิตทั้ง 96 ศพนั้นจะยังอยู่ในใจของเดอะ คอปและนักฟุตบอลของลิเวอร์พูลไปตลอดกาล" ก่อนที่ดัลกลิชจะประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอย่างกระทันหันเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1991 โดยก่อนที่เค้าจะลาออกเค้าได้นำนักเตะอย่างสตีฟ แม็คมานามานขึ้นจากชุดอคาเดมีมาเล่นในชุดใหญ่ และยังได้ซื้อตัวเจมี เรดแนปป์ซึ่งเป็นนักเตะคนสุดท้ายที่เค้าซื้อมา ก่อนที่ต่อมาทั้งคู่จะเป็นนักเตะคนสำคัญของลิเวอร์พูล

สมัยที่ดัลกลิชอยู่กับลิเวอร์พูล (ในฐานะนักเตะ/ผู้จัดการทีม) เค้าคว้าแชมป์ลีกสูงสุดไปครองได้ 8 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย, แชมป์ลีก คัพ 4 สมัย, แชมป์แชร์ริตี้ ชิลด์ 5 สมัย, แชมป์ยูโรเปียน คัพ 3 สมัย, แชมป์ยูโรเปียน ซุปเปอร์ คัพ 1 สมัย

ก่อนที่ดัลกลิชจะกลับมารับงานในตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้งเมื่อเดือนตุลาคม 1991 กับทีมแบล็คเบิร์น โรเวอร์สซึ่งอยู่ในดิวิชั่น 2 (เดอะ แชมเปียนชิพในปัจจุบัน) และเค้าก็พาทีมแบล็คเบิร์นกลับขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้งหลังจากที่เอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในการแข่งขันรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้น และเป็นครั้งแรกที่แบล็คเบิร์นได้กลับมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งหลังจากปี 1966

แจ็ค วอล์คเกอร์ซึ่งเป็นเจ้าของทีมแบล็คเบิร์นได้ให้งบประมาณในการซื้อนักฟุตบอลแก่ดัลกลิชอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้ทีมได้เป็นแชมป์ลีกสูงสุด โดยดัลกลิชจัดการคว้าตัวอลัน เชียร์เรอร์มาจากเซาแธมป์ตันด้วยราคา 3.3 ล้านปอนด์ และเชียร์เรอร์ก็พาแบล็คเบิร์นจบอันดับที่ 4 ในฤดูกาลแรกที่ทีมได้เลื่อนชั้นกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่ฤดูกาลต่อมาดัลกลิชจะซื้อตัวทิม ฟลาเวอร์สและเดวิด แบ๊ตตี้เข้ามาเสริมทีมและพาแบล็คเบิร์นเข้าป้ายในอันดับที่ 2 โดยแชมป์ตกเป็นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในฤดูกาล 1994/95 ดัลกลิชเซ็นต์สัญญาคว้าตัวคริส ซัตตันด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ซึ่งถือว่าเป็นสถิติของสโมสรเลยทีเดียว (ในสมัยนั้น) เพื่อให้มาเป็นคู่ขาในแดนหน้ากับอลัน เชียร์เรอร์ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่อทั้ง 2 คนจับคู่กันถล่มประตูและทำให้แบล็คเบิร์นเบียดลุ้นแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปจนถึงนัดสุดท้าย ซึ่งนัดสุดท้ายดัลกลิชต้องพาทีมแบล็คเบิร์นไปเยือนลิเวอร์พูลที่สนามแอนฟิลด์ ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องออกไปเยือนเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยก่อนเกมที่แอนฟิลด์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้ให้สัมภาษณ์ว่าเกมที่แอนฟิลด์อาจจะมีการสมยอมกันเพราะว่าดัลกลิชกับลิเวอร์พูลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันและให้เอฟเอจับตาดูให้ดี ซึ่งในเวลา 90 นาทีทั้งคู่เสมอกัน 1-1 แต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเจมี เรดแนปป์ก็ปั่นฟรีคิกให้ลิเวอร์พูลชนะแบล็คเบิร์น 2-1 แต่สิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขันแฟนบอลในสนามทั้งสองทีมกลับโห่ร้องแสดงความยินดีกับดัลกลิชเมื่อทราบข่าวว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่สามารถเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ดได้ ทำให้แบล็คเบิร์นคว้าแชมป์ไปครองโดยมีคะแนนมากกว่าเพียง 1 คะแนน

โดยการคว้าแชมป์ของแบล็คเบิร์นครั้งทำให้ดัลกลิชได้แชมป์ลีกไปครองถึง 9 สมัย โดยดัลกลิชเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 3 ที่สามารถทำทีม 2 ทีมเป็นแชมป์ลีกสูงสุดได้ ต่อจากเฮอร์เบิร์ต ชาปแมน (อาร์เซน่อลและฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์) และ ไบรอัน คลัฟ (ดาร์บี เคาน์ทรีและน็อตติงแฮม ฟอเรสต์)

หลังจากดัลกลิชพาแบล็คเบิร์นเป็นแชมป์ลีกสูงสุด เค้าก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันที่ 25 มิถุนายน 1995 โดยก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งไดเร็กเตอร์ ฟุตบอลโดยเรย์ ฮาร์ฟอร์ดเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ และนั้นก็เป็นจุดที่ทำให้แบล็คเบิร์นทำผลงานได้ตกต่ำมาตลอดจนถึงปัจจุบัน แต่เค้าก็อยู่ในตำแหน่งใหม่นี้ได้ไม่นานก็ลาออกไปโดยให้เหตุผลว่าต้องการพักผ่อนหลังจากเหนื่อยกับเรื่องฟุตบอลมานาน

ในเดือนมิถุนายน 1997 ดัลกลิชกลับเข้ามารับงานในตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้งให้กับทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด โดยเข้ามารับหน้าที่แทนเควิน คีแกน โดยดัลกลิชสามารถพาทีมผ่านรอบคัดเลือกรอบที่ 2 ของศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มได้ แต่ผลงานในลีกไม่สวยงามนักเมื่อทีมจบที่อันดับที่ 13 และแพ้อาร์เซน่อลในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ก่อนที่เค้าจะถูกบอร์ดบริหารของนิวคาสเซิลไล่ออก

ในเดือนมิถุนายน 1999 เค้าเข้ามารับงานในตำแหน่งไดเร็กเตอร์ ฟุตบอลของทีมเซลติก ซึ่งตอนนั้นเค้าดึงจอห์น บาร์นส์เข้ามาเพื่อทำหน้าที่เฮดโค้ช จนทำให้สื่อและแฟนบอลเซลติกวาดฝันว่าทั้งคู่จะทำให้เซลติกกลับมาผงาดอีกครั้ง แต่ด้วยผลงานในสนามที่ไม่ดีนักทำให้บาร์นส์ถูกไล่ออกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2000 โดยในฤดูกาลนั้นเซลติกทำได้เพียงแค่คว้าสก็อตติช ลีก คัพมาครองได้เท่านั้นหลังจากชนะอเบอร์ดีน 2-0 ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค
ที่มา th.wikipedia.org/wiki/เคนนี_ดัลกลิช

ทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ที่ 3

ทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ที่ 3 ของศึกพรีเมียร์ลีก ประจำเกาะอังกฤษ ฤดูกาล 2011-2012 สาวกเดอะค็อป สาวกเรือใบและสาวกผีแดงคงจะหน้าบานไปตามๆกัน
เมื่อมีนักเตะในทีมติดทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์มากที่สุด คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังถล่ม อาร์เซน่อล ไปแบบเละเทะ 8:2
ก็มีนักเตะติดทีมนี้มา ถึง 4 คนด้วยกัน คือ คริส สมอลลิ่ง ที่รับไป 8 คะแนน ,ฟิล โจนส์ ได้ไป 7.5 คะแนน
ส่วน แอชลี่ย์ ยัง ที่ยิงไป2 ประตูรับไป 9 คะแนน รวมไปถึง เวย์น รูนี่ย์ ที่ซัดคนเดียว 3 ประตูในเกมนี้ รับไป 9.5
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ติด 3 คนด้วยกัน ไล่จากกองหลัง แวงซ็องต์ กอมปานี ที่ได้ไปถึง 8 คะแนน กองกลางอย่าง ซาเมียร์ นาสรี ที่เพิ่งย้ายเข้ามาและได้ลงสนามนัดแรกห็ได้รับคะแนนไป 8.5
รวมไปถึง เอดิน เซโก้ ที่ระเบิดฟอร์มสุดยอด โดยซัดคนเดียวถึง 4 ประตู ก็ได้รับคแนนไป 9 คะแนน
ด้าน ลิเวอร์พูล ก็ไม่น้อยหน้า ติดทีมนี้มาถึง 3 คนด้วยกัน คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน รับไป 9 คะแนน ,ชาร์ลี อดัม ได้ 8.5 คะแนน และ หลุยส์ ซัวเรซ ที่ได้คะแนน 8.5
ส่วนผู้รักษาประตูเป็น ทิม ฮาวเวิร์ด ผู้รักษาประตูของ “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ที่รับไป 7 คะแนน
ที่มา http://www.rakball.net/overview.php?c=18&id=46304

ชุดแข่งลิเวอร์พูล 2011

เสื้อใหม่ชุดเยือนลิเวอร์พูล 2011-2012 ในสีขาวฟ้า
Sunday, 19 June 2011 17:12 AndamanSport .ลิเวอร์พูล คลอดชุดแข่งแบบที่ 3 สำหรับสู้ศึกฤดูกาลหน้า 2011-12 อย่างไรก็ตามถูกวิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากออกแบบมีลูกเล่นสีฟ้าถือเป็นโทนเดียวกับ เอฟเวอร์ตัน อริร่วมแถบ เมอร์ซีย์ไซด์ ซึ่งต้องย้อนหลังไปเกือบ 120 ปีกับการที่ "หงส์แดง" ใช้ชุดแข่งมีสีนี้ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อ บิลล์ แชงค์ลีย์ เข้ามาคุมทัพตั้งแต่เมื่อปี 1964 เป็นต้นมา จากการตีข่าวของ "เดลี เมล" (DAILY MAIL)




ที่มา http://www.andamansport.com/sport-news/1-category-news/97-liverpool-away-2011-2012-white.html

ประวัติตราประจำสโมสรลิเวอร์พูล

หลังจากที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพสมัยที่ 5 ได้สำเร้จในปี 2005 ยูฟ่าก็ได้มอบเครื่องหมายนี้ไว้เป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ ทีมที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพอย่างน้อย 5 สมัย หรือสามารถคว้าแชมป์ได้ 3 สมัยติดต่อกันเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์สวมเครื่องหมายอันทรงเกียรตินี้

ป้าย This is Anfield แบบดั้งเดิมที่นำมาจากสนามฟุตบอล ในปัจจุบันนี้ ตัวหงส์ (หรือนก Liver bird) มีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ในครั้งแรก บิลแชงคีลย์ได้นำมาใช้เพื่อเตือนสตินักฟุตว่า พวกเขาอยู่ที่ใดกันแน่


นี่เป็นตราประจำสโมสรที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยมีเปลวไฟแห่งความยุติธรรมอยู่ลุกโชติช่วง 2 ข้าง (เปลวไปเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ 96 ชีวิตที่จากไปในโศกนาฏกรรมที่ฮิล์สโบโร่) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เปลวไฟได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ดังจะเห็นได้จากภาพต่อไป


เปลวไฟแห่งความยุติธรรมเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจากตราประจำสโมสรครบ 100 ปี


ตราสโมสรนี้ ใช้เฉลิมฉลองสโมสรมีอายุครบ 100 ปีในปี 1992 และ ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีเพียงสีต่างๆเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อปรากฏบนสินค้าของสโมสร


ตราประจำสโมสรหลากสีนี้ ใช้มาหลายปี ถึงแม้ว่าไม่ค่อยได้ปรากฏให้เห็นในชุดแข่ง ตราสโมสรรูปแบบนี้เป็นต้นแบบให้กับตราสโมสรที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน


ตราสโมสรนี้มีขึ้นหลังจากความสำเร็จของลิเวอร์พูลในปี 1985/86 เมื่อพวกเขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์มาได้และตกลงให้ Crown Paints เป็นสปอนเซอร์


โลโก้สินค้าของรีบ็อคสำหรับแฟนบอลรุ่นเยาว์


โลโก้ในปัจจุบันที่มีการปรับเปลี่ยนเมื่อลิเวอร์พูล อะคาเดมี่เริ่มดำเนินงาน โลโก้ดังกล่าวปรากฎให้เห็นทั่วไปบนตึกของอะคาเดมี่
ที่มา http://www.tlcthai.com/club/view_topic.php?club=LiverpoolFC&club_id=1038&table_id=1&cate_id=-1&post_id=1487

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

สนามฟุตบอลแอนฟิลด์


สนามฟุตบอลแอนฟิลด์ (Anfield) เป็นสนามฟุตบอลเหย้าของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ตั้งอยู่ในเขตแอนฟิลด์ เมืองลิเวอร์พูล แอนฟิลด์สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2427
เริ่มแรกเป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2435 เอฟเวอร์ตันย้ายสนามไปกูดิสัน พาร์ก หลังจากก่อตั้งสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล แอนด์ฟิลด์จึงกลายเป็นสนามเหย้าของลิเวอร์พูลนับแต่นั้นมาแอนฟิลด์ประกอบไปด้วยอัฒจรรย์สี่ด้าน ได้แก่ สปิออน ค็อป, อัฒจรรย์หลัก, เซนเทเนรีสแตนด์, และ อัฒจรรย์ฝั่งถนนแอนฟิลด์ มีความจุทั้งสิ้น 45,276 ที่นั่ง โดยจำนวนผู้ชมสูงสุดเท่าที่มีการบันทึกไว้คือ ในการแข่งขันเอฟเอคัพ รอบที่ 5 ระหว่างลิเวอร์พูล กับ วูลฟ์แฮมตัน วันเดอร์เรอร์ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 บันทึกไว้ว่ามีผู้ชมทั้งสิ้น 61,905 คน
สนามฟุตบอลแอนฟิลด์ ได้รับการรับรองจากสมาคมฟุตบอลยุโรป ให้เป็นสนามระดับ 4 ดาว ซึ่งสามารถจัดการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติ หรือรายการใหญ่อื่นๆ รวมทั้งการแข่งขันของทีมชาติอังกฤษ แอนฟิลด์เคยเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอล ที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในปี พ.ศ. 2539 (ยูโร 96)
ในอนาคตสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล มีแผนก่อสร้างสนามฟุตบอลแห่งใหม่ ความจุ 60,000 ที่นั่ง ในบริเวณสวนสาธารณะสแตนด์ลีย์ เพื่อทดแทนสนามแอนฟิลด์ ซึ่งทรุดโทรมและไม่สามารถขยายสนามได้อีก


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

ธงชาติที่ปรากฎบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่า ตามความเหมาะสม เพราะบางผู้เล่นอาจถือสองสัญชาติ

หมายเลข ตำแหน่ง ผู้เล่น
1 GK แบรด โจนส์
2 DF เกล็น จอห์นสัน
3 DF โฆเซ เอ็นริเก
5 DF ดาเนียล แอ็กเกอร์
6 DF ฟาบิโอ ออเรลิโอ
7 FW หลุยส์ ซัวเรซ
8 MF สตีเฟน เจอร์ราร์ด (กับตันทีม)
9 FW แอนดี คาร์โรลล์
11 MF มักซี โรดริเกวซ
14 MF จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
16 DF เซบาสเตียน โคอาเตส
18 FW เดิร์ค เคาท์
19 MF สจวร์ต ดาวนิง
20 MF เจย์ สเพียริง
21 MF ลูคัส เลวา
22 DF แดนนี วิลสัน
23 DF เจมี คาร์ราเกอร์ (รองกัปตันทีม)
หมายเลข ตำแหน่ง ผู้เล่น
25 GK เปเป เรนา
26 MF ชาร์ลี อดัม
30 FW เฟอร์นันเดส ซูโซ
31 MF ราฮีม สเตอริง
32 GK โดนี
33 MF จอนโจ เชลวีย์
34 DF มาร์ติน เคลลี
35 DF คอเนอร์ โคดี
37 DF มาร์ติน สเคอร์เทล
38 DF จอห์น ฟลานาเกน
39 FW เคร็ก เบลลามี
41 GK มาร์ติน แฮนเซน
47 DF อังเดร์ วิสดอม
49 DF แจ็ค โรบินสัน
— MF เดวิด อามู
— FW นาธาน เอคเคิลสตัน
ที่มา www.liverpool.in.th

ประวัติสโมสรลิเวอร์พูล



สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (อังกฤษ: Liverpool Football Club) เป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทีมหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ ลิเวอร์พูลครองแชมป์ดิวิชั่น 1 ถึง 18 ครั้ง ครองแชมป์ยูโรเปียนคัพ 5 ครั้ง ก่อตั้งใน วันที่ 15 มีนาคม ปี พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรหนึ่งในกลุ่มจี-14 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ You will never walk alone

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2435และก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรแนวหน้าของอังกฤษอย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จ เป็นแชมป์ลีกสูงสุดชองประเทศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2444(ฤดูกาล1900/01)และครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2449 (ฤดูกาล1905/06)ครั้งที่3และ4 เป็นแชมป์สองฤดูกาลติดในพ.ศ. 2465 กับพ.ศ. 2466(ฤดูกาล1921/22กับ1922/23)แชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 5 คือปี พ.ศ. 2490 (ฤดูกาล1946/47)อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลพบกับช่วงตกต่ำต้องไปเล่นในในดิวิชัน 2 ในพ.ศ. 2497(ฤดูกาล1953/54)ภายหลังจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสโมสรในปี พ.ศ. 2502 สโมสรได้แต่งตั้ง บิลล์ แชงก์คลี เป็นผู้จัดการทีม เขาได้เปลี่ยนแปลงทีมไปอย่างมาก จนประสบความสำเร็จได้เลื่อนชั้นในปี พ.ศ. 2505(ฤดูกาล1961/62)และได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2507 (ฤดูกาล1963/64) หลังจากรอคอยมานานถึง 17 ปี บิล แชงก์ลี คว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็น ถ้วยแรกของสโมสรลิเวอร์พูลในปี พ.ศ. 2508 (ฤดูกาล 1964/65)และคว้าแชมป์ดิวิชั้น1อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2509(ฤดูกาล1965/66) ความสำเร็จของแชงก์ลียังเดินหน้าต่อไป เมื่อลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ พร้อมแชมป์ดิวิชั่น 1 ใน พ.ศ. 2516(ฤดูกาล1972/73) และเอฟเอคัพ อีกครั้งใน พ.ศ. 2517 (ฤดูกาล1973/74) หลังจากนั้นบิลล์ แชงก์คลีขอวางมือจากสโมสร โดยให้ผู้ช่วยของเขาสืบทอดตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน นั่นคือ บ็อบ เพสส์ลี่

สโมสรต้องประสบกับความซบเซาในช่วงหนึ่งหลังจากได้แชมป์ลีกสูงสุดในปี พ.ศ. 2533 คือได้เพียงเอฟเอคัพ 1 ใบ ปีพ.ศ. 2535 กับลีกคัพ 1ใบในปี พ.ศ. 2538 แต่ก็ฟื้นฟูขึ้นมาได้เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยทั้งในระดับประเทศและระดับทวีปถึง 3 แชมป์(คาร์ลิ่ง ลีกคัพ,เอฟเอคัพ รวมทั้งยูฟ่าคัพ)ได้ในปี พ.ศ. 2544(ฤดูกาล2000/01) ในปี 2544 นี้ลิเวอร์พูลยังคว้าถ้วยยูฟ่าซูเปอร์คัพที่เอาชนะบาร์เยิร์น มิวนิค แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกในปีนั้น รวมทั้งเอาชนะแมนฯยูฯคู่ปรับตัวฉกาจในถ้วยแชริตี้ชิลด์ก่อนเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกเป็นปีที่หอมหวานปีหนึ่งของกองเชียลิเวอร์พูล นักเตะสำคัญยุคนั้นได้แก่ ไมเคิล โอเว่น,เอมิล เฮสกี้,สตีเว่น เจอร์ราร์ด,ซามี่ ฮูเปีย และยอร์น อาร์เน่ รีเซ่ เป็นต้น ทีมชุดนี้ผู้จัดการทีมคือ เชร์รา อุลลิเย่ ชาวฝรั่งเศส ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันส่งท้ายของอุลลิเย่คือ การนำทีมลิเวอร์พูลชนะแมนฯยูฯ 2-0 ในนัดชิงฟุตบอลลีกคัพ พ.ศ. 2546 (ฤดูกาล2002/03) แชมป์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของลิเวอร์พูลคือปี 2548 ชนะในศึกยูฟ่า แชมเปียนลีกเป็นครั้งที่ 5ของสโมสร ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ตื่นตาตื่นใจครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บอลยุโรป เมื่อลิเวอร์พูลไล่ตีเสนอทีมเอซี มิลาน เป็น 3 -3 ทั้งที่โดนยิงนำไปก่อนถึง 3 -0 และในที่สุดคว้าแชมป์มาได้จากการยิงจุดโทษชนะ 3-2 เป็นทีมจากอังกฤษที่ครองถ้วยยูโรเปียนคัพ(ปัจจุบันคือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) มากครั้งที่สุดถึง 5 สมัย ผู้เล่นที่สำคัญในยุคนั้น อาทิ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ,ซาบี้ อลอนโซ่ ,ดีทมา ฮามันน์,วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์,เจอร์ซี่ ดูเด็ค และเจมี่ คาราร์เกอร์ คุมทัพโดย ผู้จัดการทีมสัญชาติสเปน ราฟาเอล เบนิเตซ ในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2549 (ฤดูกาล 2005/06) ลิเวอร์พูลของเบนิเตซทำให้แฟนบอลต้องลุ้นอีกครั้ง ในนัดชิงเอฟเอคัพ เมื่อต้องอาศัยลูกยิงมหัศจรรย์ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บตีเสมอทีมเวสต์แฮมคู่ ชิงแชมป์ในปีนั้นทำให้เสมอกันที่ 3-3 ต้องตัดสินแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษอีกครั้ง และลิเวอร์พูลก็สามารถชนะไปได้ 3-1 เป็นแชมป์สำคัญรายการล่าสุดที่ลิเวอร์พูลทำได้ แต่รายการที่แฟนบอลต้องการมากที่สุดคือแชมป์ลีกของประเทศ หรือพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ซึ่งปีล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคว้ามาได้คือพ.ศ. 2533(ฤดูกาล1989/90) จากการคุมทีมของเคนนี่ ดัลกลิส ซึ่งต่อมาภายหลังดัลกลิสสามารถนำแบล็คเบิร์นค้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในปี พ.ศ. 2538(ฤดูกาล 1994/95)

สนามปัจจุบันของสโมสรคือ แอนฟิลด์ มีความจุ 45,362 คน ในขณะเดียวกันสนามใหม่กำลังถูกวางแผนก่อสร้างในชื่อ สนามสแตนลีย์พาร์ก ความจุประมาณ 60,000 อยู่ในระหว่างการเจรจาระหว่างเจ้าของและทางเอชเคเอส สำนักงานสถาปนิกอเมริกัน

ประวัติสโมสร

จอห์น โฮลดิ้ง นักธุรกิจชาวเมืองลิเวอร์พูลได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟิลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน เช่าเป็นสนามแข่ง และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิ้ง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมได้ เช่าอยู่ ฝ่ายกลุ่มบริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนาม และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะ สแตนลี่ย์พาร์ค เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า กูดีสันพาร์ก ดังนั้น จอห์น โฮลดิ้ง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิ้ง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ จอห์น แมคเคนน่า มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Club


ยุคก่อตั้งสโมสร

หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอม รับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด (Liverbird) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลสโบรซ์ ไอโรโนโปลิส และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล (ทั้งหมด 28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ (ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดใน ปัจจุบัน) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด

ที่มาของ The Kop

เดอะ ค็อป เป็นชื่อที่ใช้เรียกตามชื่อของเนินเขาแห่งหนึ่งใน นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งคนท้องถิ่นจะรู้จักกันในนาม สปิออน ค็อป โดยเกิดเหตุการณ์การทำสงครามบัวร์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1900 อังกฤษได้ ส่งทหารไปกว่า 300 นาย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล แต่แล้วในสงครามนั้นเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นคือ อังกฤษได้เสียทหารไปเกินกว่าครึ่ง เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น นักข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูลเดลี่โพสต์ ชื่อ เออร์เนสต์ เอ็ดเวิร์ตส์ จึงเสนอชื่อ สปิออน ค็อป ตามชื่อของเนินเขาลูกนั้น เป็นชื่อของอัฒจันทร์หลัง ประตูในการสร้างสนามใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นเกียรติในความกล้าหาญของทหารอังกฤษทั้ง 300 นาย ซึ่งต่อมาอัฒจันทร์แห่งนี้ได้กลายอัฒจันทร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกของ ฟุตบอลแห่งหนึ่ง. ในปี ค.ศ. 1928 ได้มีการต่อเติมอัฒจันทร์แห่งนี้ใหม่ และเมื่อใดเมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลของทีมลิเวอร์พูลขึ้น คนที่ไปดูการแข่งขันของทีมบนอัฒจันทร์จะเรียกตัวเองว่า เดอะ ค็อป (The Kop) และแล้วจากเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่สนามฮิลส์โบโร่ ในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งเกิดการถล่มของอัฒจันทร์ขึ้น ในการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ กับ นอร์ทติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 96 คน จึงมีคำสั่งให้ทุกสนามเปลี่ยนจากอัฒจันทร์ยืนเป็นแบบนั่งทั้งหมด และนั่นเป็นการปิดฉากของอัฒจันทร์ สปิออน ค็อป อัฒจันทร์แบบยืนที่มีความยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีอัฒจันทร์ใหม่ขึ้นมาและใช้ชื่อว่า นิว ค็อป ซึ่งความหมายต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม แม้ชื่ออัฒจันทร์จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม นิว ค็อป ยังคงมีกลิ่นอายของประวัติเหล่านั้นอยู่เต็มเปี่ยม



ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย