วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

10 อันดับเจ้าพ่อลูกนิ่งที่ดีที่สุดในโลก

10. โฮเซ่ หลุยส์ ชิลาเวิร์ต
อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติปารากวัยผู้นี้ คือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพนักฟุตบอลของเขา มันมากกว่าการที่เขาถูกยกย่องให้เป็นตำนานนักเตะของประเทศ แต่ความภาคภูมิใจของเขาคือความกล้าบ้าบิ่นรวมไปถึงพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัว เป็นเรื่องปกติที่เรามักจะเห็นเขาออกมาจากบริเวณปากประตูของตัวเอง ขึ้นมายังปากประตูของคู่แข่งเพื่อรับหน้าที่สังหารลูกฟรีคิกให้กับทีมอยู่เสมอ หลายประตูด้วยกันที่ถูกสร้างสรรค์โดยเท้าซ้ายข้างถนัด จนติดตราตรึงใจกันมานักต่อนักแล้ว และสิ่งที่น่าเหลือเชื่ออีกอย่างที่คุณอาจยังไม่เคยรู้ก็คือ ครั้งหนึ่งเขาเคยทำประตูได้จากระยะกว่าครึ่งสนามในแดนของตนเองมาแล้ว
9. โรแบร์โต้ คาร์ลอส
โรแบร์โต้ คาร์ลอส อดีตแบ็กซ้ายหมายเลขหนึ่งของโลกทีมชาติบราซิล เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีชื่อเสียงด้านการสังหารฟรีคิกอีกคนที่เรารู้จักกันดี คาร์ลอส พยายามหาหนทางพลิกแพลงลูกฟรีคิกจากระยะที่ไกลมาก จนวันหนึ่งเมื่อมันได้ผล มันคือความยอดเยี่ยมหาที่ติไม่ได้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการสังหารฟรีคิกเมื่อปี 1997 ในแมตช์ที่ทีมชาติบราซิล ของเขาพบกับ ฝรั่งเศส จากฟรีคิกระยะร่วม 35 หลา คาร์ลอส บรรจงวางลูกบอลที่จุดเตะ ก่อนที่จะถอยหลังร่วมๆ 10 หลา และวิ่งเข้าไปสับไกด้วยซ้ายอันทรงพลัง บอลหนีกำแพง และกรอบประตูออกไปร่วมๆ 3 หลาบอลทำท่าว่าจะออกหลังแบบไม่ได้ลุ้น แต่สิ่งที่เห็นก็คือมันเหลือเชื่อที่บอลเปลี่ยนทิศทางเลี้ยวกลับเข้าหากรอบประตูกะทั นหันและเข้าประตูไปในที่สุด ชนิดที่ ฟาเบียง บาร์เตซ ไม่ทันได้ขยับตัวด้วยซ้ำ และจากฟรีคิกของ คาร์ลอส ลูกนี้เองมันถูกตั้งชื่อว่า “บานาน่า” คิก ในภายหลัง
8.พอล แกสคอยน์
พอล แกสคอยน์ หรือ “แกสซ่า” คือหนึ่งในผู้เล่นทีมชาติอังกฤษที่มีลีลาการเล่นที่เปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์ชื่อของ “แกสซ่า” ถูกจดบันทึกไว้ในประวัตศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สนามเวมบลีย์ เมื่อปี 1991 ในแมตช์ที่ สเปอร์ส พบ กับ อาร์เซน่อล ในรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ ในปีนั้น ผลจบลงที่ สเปอร์ส เอาชนะ อาร์เซน่อลไป 3-1 เป็นลอนดอนดาร์บี้แมตช์ที่แฟนๆ สเปอร์ส จะต้องจดจำไปอีกนาน เพราะนอกจากที่ทีมรักชนะคู่ปรับร่วมเมืองได้แล้ว สิ่งที่ยังติดตาตรึงใจมิอาจลืมก็คือฟรีคิกของ “แกสซ่า” ในเกมวันนั้นที่สุดแสนจะน่าทึ่ง
7.ดีเอโก้ มาราโดน่า
เทพบุตร และ ซาตาน ของวงการลูกหนังที่ผู้คนทั่วโลกมิอาจลืมเลือน ดิเอโก้ มาราโดน่า คือนักเตะที่ดีที่สุดที่โลกเคยมี และเป็นนักเตะในตำนานของประเทศอาร์เจนติน่า การทำประตูที่น่าทึ่ง 2 ประตูในศึกฟุตบอลโลกปี 1986 ในแมตช์ที่ทีมชาติอาร์เจนติน่า พบกับทีมชาติอังกฤษ คือสิ่งที่บอกความเป็นตัวตนอย่างชัดเจนที่สุดในอาชีพนักเตะของเขา แต่น้อยคนนักที่จะรู้ดีถึงความสามารถอีกอย่างของ มาราโดน่า นั่นก็คือการสังหารฟรีคิก ที่นักเตะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาในสมัยนั้น จะรู้ดีว่าเขาคือตัวสังหารฟรีคิกที่อันตรายที่สุด ด้วยเอกลักษณ์ที่เป็นตัวของตัวเองก็คือ เขาจะยืนห่างจากลูกบอลเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
6.สจ๊วต เพียซ
เมื่อใดก็ตามที่เราเห็น สจ๊วต เพียซ ใส่อารมณ์กับลูกฟุตบอล เรารู้ได้ทันทีว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้น มันเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 3 ยังไงยังงั้น เท้าซ้ายอันทรงพลังของเขา เป็นที่กล่าวขานกันมากที่สุดในเกมเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ปี 1991 ในแมตช์ที่พบกับ สเปอร์ส
5.ปิแอร์ ฟาน ฮอยดองค์
ปีแอร์ ฟาน ฮอยดองค์ ชื่อนี้ไม่เคยถูกโจมตี หรือถูกซบประมาทว่าเขาเป็นนักเตะที่เร่ร่อนไปทั่ว, ฮอยดองค์ พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถที่มีอยู่ในตัวในเรื่องการสังหารฟรีคิก และความหมายของคำว่าฟรีคิกได้เป็นอย่างดี แม้มันอาจดูไม่น่ากลัวถึงขั้นเทพ แต่แฟนๆ เซลติก และ น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรส จะยกมือเป็นพยานให้กับเขา ว่าตลอดระยะเวลาที่ ฮอยดองค์ อยู่ที่นั่นมันมีความพิเศษเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นเสมอๆ ในแต่ละเกมที่เขาลงสนาม
4.แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์
เป็นที่ทราบกันดีว่าในทศวรรษที่ 90 แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ศูนย์หน้ามาดละเมียดผู้นี้ คือทุกสิ่งทุกอย่างของสโมสรเซาแธมป์ตัน และมันก็เป็นแบบนั้น เช่นเดียวกับจำนวนประตูนับโหลที่สุดแสนจะมหัศจรรย์อันเกิดจากการเล่นลูก โอเพ่น เพลย์ จนเขาถูกขนานนามให้เป็นพระเจ้าแห่งความตาย เขามักจะทำอะไรให้มันผิดแผกแตกต่างไปจากคนทั่วไป ในปี 1994 แมตช์ที่พบกับ วิมเบิลดัน เลอ ทิสซิเอร์ จงใจที่จะฝ่าฝืนประเพณีทั้งหมดในการที่จะปั่นฟรีคิกจากระยะหวังผลให้ข้ามกำแพง เขากระดกบอลขึ้นจากพื้น แล้วตัดสินใจฮาล์ฟวอลเลย์จากระยะ 25 หลาเข้าประตูไปแบบเหนือจิตนการของมนุษย์ธรรมดาจะมี และจนถึงวันนี้ฟรีคิกลูกนั้นของเขายังอยู่ในความทรงจำ
3.ซินิซ่า มิไฮโลวิช
ภาพเหตุการณ์ที่คุณมักจะเห็นอยู่เสมอๆ ในโลกของฟุตบอลอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อทีมของคุณตัดสินใจขายซูเปอร์สตาร์ในทีมให้กับทีมคู่แข่ง และในซีซั่นต่อมาเรามักจะได้เห็นเขาเหล่านั้นกลับมาทำประตูทีมเก่าอยู่เสมอๆ มิไฮจ์โลวิช คือหนึ่งในนั้น แฟนๆ ของทีมซามพ์โดเรีย คงยังจำกันได้ ในปี 1998 มิไฮจ์โลวิช ซึ่งในขณะนั้นกลับมายังซามพ์โดเรีย ถิ่นเก่า แต่คราวนี้เขากลับมาในฐานะนักเตะของ ลาซิโอ เขาสามารถทำแฮททริกได้ในเกมวันนั้น ที่แปลกก็คือโดยตำแหน่ง มิไฮจ์โลวิช คือผู้เล่นในตำแหน่งกองหลัง แต่ที่แปลกไปกว่านั้นและหาดูได้ยากมากก็คือ 3 ประตูที่เกิดขึ้น มันเกิดมาจากผลงานการสร้างสรรค์ลูกฟรีคิกของแบ็กอดีตทีมชาติเซอร์เบียร์ ผู้นี้ทั้ง 3 ประตู ซึ่งมันไม่ได้ฟลุค 27 ประตูจากลูกฟรีคิกในกัลโช่ เซเรีย อา จนบัดนี้ยังไม่มีใครมาทำลายสถิตินั้นได้
2.จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่
มาถึงอันดับ 2 กันแล้วเรากำลังพูดถึงผู้เชี่ยวชาญการยิงลูกนิ่งของ จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่ เพลย์เมคเกอร์ ชาวบราซิเลี่ยนผู้ที่ถูกจารึกชื่อให้เป็นผู้สร้างสรรค์ฟรีคิกที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ในโลกฟุตบอลสมัยใหม่ ทันทีที่แสงไฟของฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สว่างขึ้นลูกยิงอันน่าทึ่งของเขาจะปรากฏสู่สายตาแก่ทุกคนอยู่เสมอ ในปี 2006 ลียง ถูกยกให้เป็นทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดในยุโรป และกว่า 45% ของจำนวนประตูที่ ลียง ทำได้ มันมาจากฟรีคิกของ จูนินโญ่ ด้วยฟุตบอลที่มีลักษณะส่าย และเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วขณะลอยอยู่กลางอากาศจนไม่อาจคาดเดาทิศทางของลูกได้ คือเอกลักษณ์เฉพาะ ที่หาใครลอกเลียนแบบไม่ได้ 35 ประตูคือสถิติที่ จูนินโญ่ ทำประตูได้จากลูกฟรีคิกให้กับ โอลิมปิก ลียง
1.เดวิด เบ็คแฮม


เมื่อชาติต้องการเขามากที่สุดในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ทีมชาติอังกฤษ ของ เบ็คแฮม ลงเล่นเกมสุดท้ายของฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2002 กับกรีซ อังกฤษต้องการหนึ่งประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเพื่อแรกกับการได้ตั๋วไปเตะรอบสุดท้ายที่ ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ และแล้ว เบ็คแฮม ก็โกงความตายให้กับอังกฤษได้สำเร็จ เขาบรรจงปั่นฟรีคิกลูกนั้นท่ามกลางความกดดัน และความหวังของคนทั้งประเทศ พาทีมชาติอังกฤษทะยานผ่านเข้าไปเตะฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2002 ได้สำเร็จ มันเหมือนพระเจ้าจะลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า เพราะท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบคั้น มันมักจะสร้างวีรบุรุษอยู่เสมอเครดิต http://www.toptenthailand.com/display.php?id=2911

F50 รองเท้าสตั๊ดเบาที่สุดในโลก


F50 อาดิซีโร่ เป็นรูปทรงใหม่ ดูปราดเปรียวด้วยหนังสังเคราะห์ sprint skin ที่เบาและทนทาน หน้าเท้าและส้นเท้ามีรูปทรงกว้างขึ้น เพื่อช่วยให้สวมใส่สบาย ไม่บีบเท้า ฐานปุ่มกว้าง ช่วยกระจายแรงกระแทก ส่วนพื้นและปุ่มรองเท้าเป็นวัสดุTPUที่มีความทนทานสูง

นักเตะที่ได้สวม F50 อาดิซีโร่ เป็นคนแรก คือ ไลโอเนล เมสซี่ โดยเป็นรองเท้าที่ใช่สีพิเศษ สีม่วงกิ้งก่าคามิเลียน เพื่อลงแข่งในศึกฟุตบอลโลก 2010 โดย เมสซี่ ผู้เพิ่งได้รับตำแหน่ง “นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี” ของฟีฟ่า กล่าวถึงความรู้สึกว่า “ผมรู้สึกทึ่งกับน้ำหนักที่เบามากของ F50 อาดิซีโร่ คู่ใหม่นี้อย่างมาก แทบจะไม่รู้สึกเลยว่ากำลังสวมมันอยู่ บนสนามแข่งนั้นเรื่องความเร็วถือเป็นสิ่งสำคัญมากกับเกมการแข่งขัน และผมก็หวังว่าการที่ได้สวมใส่รองเท้าฟุตบอลที่เบาที่สุดในโลกนี้ จะช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระหว่างแมทช์สำคัญๆ ของปีนี้ด้วย”

ด้าน ดาวิด บีย่า จากสเปน จะเป็นอีกผู้หนึ่งที่จะสวมใส่ F50 อาดิซีโร่ ในเวอร์ชั่นที่เป็นสีดำและเหลืองพระอาทิตย์ ซึ่งดาวิดได้กล่าวเสริมว่า “ความเร็วเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งสำหรับผมในเกมการแข่งขัน และผมก็ตื่นเต้นมากๆ ที่จะสามารถเร่งสปีดได้เร็วขึ้นอีก ในการแข่งขันกับผู้เล่นชั้นแนวหน้าของโลกในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่อัฟริกาใต้ที่จะถึงนี้”

ความสามารถด้าน “ความเร็ว” ในวงการฟุตบอลปัจจุบัน ไม่เคยได้รับการพัฒนาขั้นสูงสุดอย่างนี้มาก่อน ระยะเวลาความเร็วที่ต่างกันเพียงเศษเสี้ยวของวินาทีหรือเพียงไม่กี่มิลลิเมตร ก็สามารถมีผลต่อการแพ้หรือชนะในการแข่งขันได้ อาดิดาสจึงตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวต่อผู้เล่น ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมแห่งความเร็วล่าสุดขึ้น ด้วยการพลิกโฉมรองเท้า F50 ให้เป็นสตั๊ดที่มีน้ำหนักเบาที่สุด ที่เคยมีการผลิตขึ้นมา

รองเท้า F50 อาดิซีโร่ จะได้รับการสวมใส่โดยผู้เล่นชั้นนำมากมายในการแข่งขัน ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 โดยดีไซน์รุ่นสีม่วงกิ้งก่าคามิเลียน จะสวมใส่โดย ไลโอเนล เมสซี่ แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ในขณะที่นักเตะคนอื่นๆ อย่าง สตีเว่น พีนาร์ (อัฟริกาใต้) โจซีย์ อัลติดอร์ (สหรัฐอเมริกา) ชุนซูเกะ นากามูระ (ญี่ปุ่น) ซาโลมอง กาลู (ไอเวอรี่ โค้สต์) อาร์เยน ร็อบเบน (ฮอลแลนด์) ลูคัส โพโดลสกี้ (เยอรมันนี) ดาวิด บีย่า (สเปน) ซาเมียร์ นาสรี (ฝรั่งเศส) เจอร์เมน เดโฟ (อังกฤษ) และโจฮันน์ วอนแลนเธน (สวิสเซอร์แลนด์) จะสวมใส่รุ่นดีไซน์สีเหลืองพระอาทิตย์คาดสีดำ
** ข้อมูลด้านเทคโนโลยีและการทำงานของ F50 อาดิซีโร่ **

รองเท้า F50 อาดิซีโร่ ผลิตด้วยนวัตกรรมที่ใช้วัสดุและหนังสังเคราะห์คุณภาพสูง รวมถึงเทคโนโลยีชั้นนำในการผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำหนักตามเป้าหมายเพียง 165 กรัม (ไซส์ 8.5 UK)

หนังของรองเท้า F50 อาดิซีโร่ ใช้เทคโนโลยี SprintSkin ทำจากวัสดุสังเคราะห์โพลียูรีเทน ที่เป็นเส้นใยไมโครไฟเบอร์สังเคราะห์ชั้นเดียว เพื่อลดน้ำหนักโดยรวมของรองเท้า และกระชับรูปเท้าราวกับเป็นผิวหนังชั้นที่สอง เพื่อการสัมผัสบอลที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ให้ความรู้สึกยามเตะได้ดีมากขึ้น และช่วยเพิ่มความสบายยามสวมใส่ เสริมด้วยโครงสร้างTPU Band ด้านใน เพื่อเพิ่มความทนทานของหนังรองเท้า และช่วยในการโอบกระชับเท้าและให้การทรงตัวที่ดี ส่วนที่ต่อติดกับพื้นรองเท้า หุ้มด้วย TPU ทำให้รองเท้ามีความทนทานสูงสุด พื้นรองเท้าไม่เปิดหรือเสียหายง่าย

F50 อาดิซีโร่ ผสานปุ่มแบบใหม่ Triangular รูปทรงสามเหลี่ยมที่ช่วยในการจิกเกาะพื้นดิน ช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวในทุกทิศทาง ฐานปุ่มใหญ่ช่วยกระจายแรงกด ให้ความมั่นคงโดยเฉพาะเวลาลงสู่พื้น

ภูมิใจนำเสนอ สุดยอดรองเท้าสตั๊ดน้ำหนักเบาที่สุดที่เคยมีการผลิตขึ้นมา F50 อาดิซีโร่ (F50 adiZero) ปฏิวัติวงการลูกหนัง ด้วยน้ำหนักเบาเพียง 165 กรัม (ไซส์ 8.5 UK) โดดเด่นด้วยที่สุดยอดแห่งเทคโนโลยีรองเท้าฟุตบอลสมัยใหม่เต็มรูปแบบ พร้อมโครงสร้างปุ่มแบบใหม่ที่เน้นด้านการยึดเกาะ ช่วยเพิ่มความเร็วและความคล่องตัว ส่งผลให้ F50 อาดิซีโร่เป็นรองเท้าฟุตบอลที่เบาที่สุดในโลก ณ ขณะนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก adidas thailand

มาดูสตั๊ดที่แพงที่สุดในโลกกันดีกว่า

สื่อเมืองผู้ดีเปิดโฉมรองเท้าสตั๊ดที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสามแข้งเมืองผู้ดีจอห์น เทอร์รี่, เวย์น รูนี่ย์ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยทุกคู่ถูกประดับด้วยเพชรน้ำงาม แต่ไม่ได้มีไว้ใส่แต่ทำขึ้นเพื่อไว้ประมูล
นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ เปิดเผย รองเท้าสตั๊ดที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ จากการที่มันถูกประดับประดาด้วยเพชรน้ำงาม และมีไว้สำหรับเพชรแห่งวงการลูกหนังผู้ดีอย่าง จอห์น เทอร์รี่, เวย์น รูนี่ย์ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์
แท็บลอยด์ดังเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า เพชรกว่า 7,444 เม็ด ถูกนำไปประดับรองเท้าทั้งสามคู่ซึ่งสนนราคารวมแล้วตกอยู่ที่ 385,000 ปอนด์ (ราว 21.56 ล้านบาท)

คู่แรก...เทอร์รี่

มันคือรองเท้าสุดอลังการที่สุดของโลก โดยของเทอร์รี่ เป็นยี่ห้อ "อัมโบร" สีขาวล้วน พร้อมกับลายเซ็นกัปตันทีมชาติอังกฤษจากเชลซี หลังจบเกม เวิลด์ คัพ รอบคัดเลือกที่ ทรี ไลออนส์ ขย้ำเบลารุส 3-0 เมื่อ 14 ต.ค. และมีเพชรประดับ 2,374 เม็ด นอกจากนี้ ยังมีการปักชื่อลูกๆ อย่าง ซัมเมอร์ และจอร์จี้ พร้อมกับธงชาติตรงลิ้นด้วย ขณะที่หมายเลข 6 ของเขาทำมาจากทองคำขาว ส่วนน้ำหนักเพชรรวมทั้งหมดมากกว่า 27 กะรัต แถมด้วยนิลอีกเกือบ 11 กะรัต สนนราคารองเท้าของเจที อยู่ที่ 135,000 ปอนด์ (ราว 7.56 ล้านบาท)

คู่ต่อไป...รูนี่ย์ (WR10)

ถัดมาได้แก่ของรูนี่ย์ ดาวยิงแมนฯ ยูไนเต็ด กับรองเท้าสตั๊ดไนกี้สีขาวที่เจ้าตัวสวมในพรีเมียร์ลีก ซึ่งถูกนำเพชร 2,576 ชิ้น หนักกว่า 10 กะรัต มาประดับทั้งเพชรสีขาว เพชรสีดำอีก 21 กะรัต ส่วนเบอร์ 10 ทำมาจากทองคำสีชมพู สนนราคารวมอยู่ที่คู่ละ 125,000 ปอนด์ (ราว 7 ล้านบาท)

และคู่ที่สาม...ริโอ

คู่สุดท้ายเป็นของริโอ ที่ใช้รองเท้าไนกี้เหมือนกัน แต่เป็นสีดำ ซึ่งมีการพ่นสีประดับสไตล์อาร์ตโดย โกลดี้ ศิลปินดัง ส่วนหมายเลข 5 ทำมาจากทองคำสีชมพู ขณะที่น้ำหนักทองที่ใช้ประดับอยู่ที่ 2,494 สโตน เพชรสีขาวมากกว่า 18 กะรัต เพชรสีดำมากกว่า 15 กะรัต และทับทิมอีกเกือบ 11 กะรัต สนนราคารวมถึง 125,000 ปอนด์ (ราว 7 ล้านบาท)

รองเท้าทั้งสามคู่ จะมีการนำไปประมูลในงานเปิดตัวมูลนิธิ "Live The Dream Foundation" ของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ต่อหน้าแขกเหรื่อกว่า 1,200 ชีวิต ที่ลอนดอน ในวันพุธนี้ เพื่อหาเงินช่วยการกุศลต่อไป

Credit : Siamsport.com

รองเท้าฟุตบอล ซื้อแบบไหน เลือกยังไงดี ??



หลายๆท่านคงมีคำถามอยู่ในใจว่า รองเท้าฟุตบอล ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป แต่ละรุ่น แต่ละ Brand นั้นจะแตกต่างกันอย่างไร และเราควรจะเลือกซื้อ แบบไหนดี..
ในความเป็นจริงแล้วการเลือกซื้อ รองเท้า สักคู่หนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แม้กระทั่ง รองเท้า แตะอยู่กับบ้าน เรายังต้องเลือกรองเท้าที่ใส่สบาย นุ่ม กระชับเท้าและมีพื้นรองเท้าที่ยึดเกาะพื้นผิวได้ดี ดังนั้นคงไม่แปลกอะไร ถ้าเราจะต้องพิถีพิถันในการเลือกซื้อรองเท้ากีฬาสักคู่หนึ่ง วันนี้จึงขอเสนอแนะวิธีการเลือกรองเท้าฟุตบอลที่เหมาะกับท่าน
หลักในการพิจารณาเลือก รองเท้าฟุตบอล ก็แบ่งออกเป็น 2 ประการสำคัญดังนี้
ประการแรก เราจะต้องพิจารณาจากจำนวนปุ่มที่อยู่ใต้พื้น รองเท้าฟุตบอล หรือที่เรียกกันว่า "ปุ่ม STUD" ซึ่งจำนวนและประเภทของเจ้าปุ่มที่ว่านี้ มีความสำคัญมาก เนื่องจากเจ้าปุ่ม STUD นี้จะอยู่บริเวณพื้น รองเท้าฟุตบอล หรือที่เรียกกันว่า OUTSOLE ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ และการยึดเกาะบนพื้นสนาม ขณะเล่นฟุตบอลด้วย ดังนั้นการเลือกประเภท ของปุ่ม STUD จำเป็นจะต้องคำนึงถึงลักษณะของสนามที่จะลงเล่นเป็นสำคัญ เพราะปุ่ม STUD แต่ละประเภทได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับพื้นผิวของสนาม ที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. SOFT GROUND สำหรับพื้นสนามที่นุ่ม จะมีลักษณะของปุ่ม STUD เป็นจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จะมีเพียง 6 ปุ่ม ต่อรองเท้าฟุตบอล 1 ข้างเท่านั้น ปุ่มประเภทนี้เหมาะสำหรับ พื้นหญ้าที่มี ความนุ่มนวล ส่วนใหญ่จะเป็น สนาม ฟุตบอลใหญ่ๆ หรือสนามฟุตบอลอาชีพ
2. FIRM GROUND สำหรับพื้นสนามทั่วไป จะมีลักษณะของปุ่ม STUD ประมาณ 12 - 15 ปุ่ม ต่อ รองเท้าฟุตบอล 1 ข้าง ปุ่ม STUD ชนิดนี้เหมาะสำหรับพื้นสนามทั่วไปและ สนามที่พื้นค่อนข้างแข็ง พื้น STUD รูปแบบนี้เป็นที่นิยมและเหมาะสมมาก สำหรับสนามในเมืองไทย
3. HARD GROUND สำหรับพื้นสนามที่แข็งมาก จะมีจำนวนของปุ่ม STUD มากกว่า 15 ปุ่ม ต่อ รองเท้าฟุตบอล 1 ข้าง ซึ่งรองเท้าที่มีปุ่มชนิดนี้ได้ พัฒนามาจาก STUD ของรองเท้าประเภท FIRM GROUND เหมาะสำหรับพื้นสนามที่มีความแข็ง มากเป็นพิเศษ
ประการที่สอง จะต้องพิจารณาจากหน้าผ้า หรือที่เรียกกันว่า "UPPER" ด้วย เพราะหน้าผ้าหรือส่วนของตัว รองเท้าฟุตบอล ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญซึ่งทำหน้าที่ ห่อหุ้มและปกป้องเท้าของผู้สวมใส่ ช่วยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้า
ดังนั้นการเลือกประเภทของ รองเท้าฟุตบอล โดยพิจารณาจากประเภทวัสดุที่ใช้ทำหน้าผ้าจึงเป็นสำคัญอย่างมาก เพราะวัสดุแต่ละประเภทที่ใช้ทำหน้าผ้าจะให้ผลที่ต่างกันดังนี้
1. หน้าผ้าที่ทำจากหนังแท้ หรือ FULL GRAIN LEATHER จะให้ความทนทานสูง พื้นผิวมีความนุ่มนวล ให้การสัมผัสบอลที่ดีเป็นธรรมชาติ แต่รองเท้าชนิดนี้จะมีราคาสูง
2. หน้าผ้าที่ทำจากหนังเทียม หรือ SYNTHETIC LEATHER จะให้ความทนทาน ที่ต่ำกว่า รองเท้าฟุตบอล ที่ทำจากหนังแท้ แต่ รองเท้าฟุตบอล ชนิดนี้จะมีน้ำหนักที่เบากว่า และคงรูปได้นานกว่าหนังแท้ โดยเฉพาะเรื่องราคาจะถูกกว่า รองเท้าฟุตบอล ที่ทำจากหนังแท้มาก
ที่มา http://snackjackwebsite.6te.net/shoestip.html

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

คำถามที่ผู้ที่เรียกตัวเองว่า The Kop ถูกถามอยู่เสมอ

คำถามที่ผู้ที่เรียกตัวเองว่า The Kop ถูกถามอยู่เสมอ
ทำไมถึงชอบ LIVERPOOL FC. ?
ชอบมากี่ปีแล้ว? นักเตะคนไหนที่ชอบเป็นพิเศษ?
ฤดูกาลหน้าคาดว่า LIVERPOOL FC. จะได้ถ้วยใดบ้าง?

คำถามลักษณะนี้ผมเชื่อว่า ทุกท่านที่เป็นแฟนทีมลิเวอร์พูล ถูกถามอยู่เสมอ และคำถามนี้ ดูไม่ยากนะครับ แต่ก็บางคนนั้น ก็หาคำตอบในใจได้ยากเหลือเกิน (ตายน้ำตื้น) เหตุเพราะต่างคนก็ต่างทัศนะกันไป แล้วแต่วัยแล้วแต่ยุคที่เริ่มเชียร์ เริ่มประทับใจทีม LIVERPOOL FC. ทีมนี้

ผมว่าเรามาดูคำตอบ ของ CHAI THE KOP (ผู้ที่เคยออกรายการ แฟนพันธุ์แท้มาแล้ว) โดยส่วนตัวแล้วผมก็สนิทกับพี่ CHAI THE KOP มากพอสมควร และพอจะเดาได้ว่า พี่ชัยต้องชอบ Robbie Fowler แน่นอนครับ เหตุเพราะว่า หน้าตาละม้ายคล้ายกัน กับนักเตะรายนี้ก็เป็นไปได้ครับผม

ชอบ LIVERPOOL FC. มาทั้งหมด 18 ปีแล้วครับ เหตุผลที่ชอบทีม LIVERPOOL FC. เป็นทีมฟุตบอลที่มีเสน่ห์ และยังเป็นตำนาน ของทีมลูกหนังโลกอีกด้วย เสน่ห์ ถ้าเปรียบเทียบ LIVERPOOL FC. เป็นหนังเรื่องหนึ่งแล้ว ลิเวอร์พูล จะเป็นหนังที่ให้อรรถรส ในการชมอย่างครบถ้วน สุขสมหวัง ในช่วงปี 70 - 80 และหนังเรื่องนี้ ดูจะผิดหวัง ในช่วงทศวรรษที่ 90 ตอนจบภาคแรก แต่ว่าในปี 2001 ลิเวอร์พูล สามารถคว้าถ้วยแชมป์ได้ 3 ถ้วยในปีเดียวกัน และก็เป็นทีมแรกแห่งประวัติศาสตร์ ฟุตบอลอังกฤษด้วย ที่สามารถคว้าแชมป์ 3 แชมป์ (ถือว่าเป็นฟุตบอลถ้วยล้วนๆ F.A.CUP LEAUGE CUP UEFA CUP) และเป็นทีมแรก ของเกาะอังกฤษที่ได้เข้าชิง ที่สนามแห่งใหม่ นั่นก็คือ คาร์ดิฟฟ์ ถึง 2 ครั้งในปีเดียวกัน (เดิมใช้สนาม เวมบลีย์) และสนามนี้ ก็กำลังปรับปรุงใหม่ และก็เป็นตำนานของนักเตะหงส์แดง ดีทมาร์ ฮามันน์ เป็นคนยิงประตูดับอังกฤษ คาบ้านที่ เวมบลีย์ และประตูนี้ถือเป็นประตูอำลาสนามเวมบลีย์ อีกด้วย


* แต่เหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดก็มาถึงเมื่อ นักแสดงทั้งหมด เอ้ย ไม่ใช่ครับ นักเตะชุด Triple Champ ของสโมสรลิเวอร์พูล ทั้งหมด + Staff มาเมืองไทยให้เราได้ถ่ายรูป , ขอลายเซ็นต์ , และพูดคุยกันกับพวกเราด้วย (คอยพบกับภาค 2)
ตำนาน LIVERPOOL FC. ได้สร้างความทรงจำให้กับบรรดา The Kop อย่างมาก

1. การเป็นแชมป์สโมสรยุโรป ( ยูโรเปี้ยนคัพ ) 4 สมัย ในปี 1977 , 1978 ,1981 ,1984 และที่สำคัญแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ 18 สมัย (ดิวิชั่น 1 เดิม )

2. เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่ The Kop ไม่มีวันที่จะลืมเลือน ฮิลล์โบโร่ สเตเดี้ยม (96 ชีวิตต้องจากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ) , เฮย์เซลล์สเตเดี้ยม 30 กว่าชีวิต ต้องเสียไปที่เบลเยี่ยม

3. และตำนานที่ควรค่าแก่การยกย่อง สรรเสริญ ผู้จัดการทีม บิลล์ แชงคลี่ย์ (ปรมาจารย์ลูกหนังของสโมสรลิเวอร์พูล) บ๊อบ เพสลี่ย์ (สุดยอดผู้จัดการทีมของเกาะอังกฤษ ที่มีผลงานดีมากที่สุดในเกาะอังกฤษ แต่ไม่ได้รับการขนานนามว่า " เซอร์ " นับเป็นเรื่องเศร้าของ The Kop จริงๆ) โจ เฟแกน ผู้จัดการทีมที่สามารถพาทีมคว้า Triple Champ ได้เป็นคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ในปี 1981 (ยูโรเปี้ยนคัพ , ลีก คัพ , ดิวิชั่น 1)

4. นักเตะที่ควรค่าแก่การจดจำ และเป็นตำนานของลิเวอร์พูล เล่าขานกันต่อๆมา เอมลีน ฮิวจ์ , มาร์ค ลอเรนเซ่น , อลัน เฮนเซ่น , ฟิล ธอมป์สัน , เรย์ คลีเม้นท์ , เควิน คีแกน , เคนนี่ ดัลกลิช , แซมมี่ ลี , แกรม ซูเนสส์ และอีกมากมาย

5. ประกาศิตจากผู้จัดการทีม ที่นักเตะทุกคน และบรรดาสื่อมวลชนทุกคนต้อง ทึ่งในเชาวน์ปัญญา ของผู้จัดการทีมคนนั้นๆ และปฏิบัติตามคำสั่งนั้นๆ อย่างเคร่งขรัด เช่น คำกล่าวของ บิลล์ แชงคลี่ย์ " ฟุตบอลไม่ใช่แค่ผลแพ้ - ชนะ ไม่ใช่แค่ความเป็นความตาย แต่มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น " และอีกคำพูดที่ ทำให้เอฟเวอร์โตเนี่ยน ไม่ชอบลิเวอร์พูลก็คือ "LIVERPOOL มีทีมอยู่ 2 ทีม ทีมหนึ่งคือทีมทึ่ยิ่งใหญ่ LIVERPOOL FC. และอีกทีมหนึ่งคือทีมสำรองของ LIVERPOOL FC. (คือเอฟเวอร์ตัน) อีกเหตุการณ์ที่ผมจำได้อีกก็คือ ในสมัยของ แกรม ซูเนสส์ เป็นผู้จัดการทีมนั้น ในครึ่งแรกนั้นลิเวอร์พูล ถูก แมนฯยู นำอยู่ 3 - 0 ซึ่ง ซูเนสส์ บอกกับลูกทีมว่า " พวกแกจะทำให้ The Kop ทั้งเมือง ถูกตบหน้า ฉาดใหญ่ อย่างแรงหรือยังไง?" ประกาศิตออกมาแค่นี้นั้น ครึ่งหลัง หนังคนละม้วนเลยครับ ลิเวอร์พูลสามารถตีเสมอได้ 3 - 3 ( ไนเจล ครัฟ 2 , รัดด็อก 1 ) และก็เป็นการเสมอ อย่างสุดมันจริงๆ

6. ประโยคอมตะอย่างสโมสรอื่นไม่มี YOU ' LL NEVER WALK ALONE หรือ
THIS IS ANFIELD และอื่นๆอีกมากมาย ที่ไม่อาจจะสาธยายได้ (รอต่อภาค 2 นะครับ)
ท้ายที่สุดนี้ผมเชื่อว่า ไม่ว่า ใครจะตอบแบบไหน โดยส่วนลึกของทุกคนแล้ว ทุกคนจะมี
ความภาคภูมิใจในความเป็น THE KOP ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะว่าคุณ จะไม่มีวันเดินเดียวดายอย่างแน่นอน

YOU " LL NEVER WALK ALONE
ที่มา www.liverpool.in.th

ผู้จัดการทีม : คนคู่หงส์

ป๋ารอย ( รอย อีแวนส์ ) + เฮียโปน ( เชร์ราดด์ อุลลิเยร์ )
# อนึ่งเหตุการณ์ในช่วงนั้นคือช่วงที่ป๋ารอยทำทีมผลงานตกต่ำชนิดเรียกว่ามีโอกาสตกชั้นทีเดียว จนบอร์ดบริหารของทีมลิเวอร์พูลอยากจะปลดเขาออก แต่ด้วยความเกรงใจ ( ไม่เข้าท่า ) แทนที่จะแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่มาทำงานคุมทีมแทน ( เฮียโปนนั่นเองครับ ) จึงแต่งตั้งให้ทำงานคู่กัน กลายเป็น “คนคู่หงส์” กลายเป็นอีกตำนานหนึ่งของลิเวอร์พูล

(1) ป๋ารอย

เขาคือผู้จัดการทีมที่มีใบหน้าคล้ายกับฆาตกรโรคจิตที่ป่วยเป็นมะเร็งในเรื่อง SAW? .. ( เอ…. หรือว่าเป็นคน ๆ เดียวกันหว่า )? อย่างไรก็ตามป๋ารอยได้สร้างระบบการเล่นที่เน้นการบุกเร้าใจและดุดันเข้าำห้ำหั่นกับฝ่ายตรงข้ามชนิดได้ใจแฟนบอล จนลิเวอร์พูลในยุคของเขาจัดเป็นทีมที่มีสีสันและถือว่าเชียร์สนุกทีเดียว แต่ป๋าแกก็มีจุดอ่อนอยู่ที่การที่แกชอบแต่ตัวผู้เล่นที่มีความโดดเด่นอยู่แต่ด้านเดียว เช่น กองหลังที่ดุดัน ปีกที่เลี้ยงบอลเก่ง กองหน้าที่เร็ว แต่ทุกคนล้วนขาดทักษะและความสามารถเฉพาะตัวที่จำเป็นและยืดหยุ่นได้กับสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ ดังนั้นในระยะหลังทีมคู่แข่งเริ่มจับทางได้และเล่นแบบเขี้ยวลากดินเ้ข้าใส่ ป๋ารอยไม่สามารถจะแก้เกมส์ได้เลย จนผลงานของทีมตกต่ำลงเรื่อย ๆ และเวลาของป๋ารอยก็กำลังหมดลงพร้อมกับการเล่นแบบฟุตบอลอังกฤษขนานแท้ที่กำลังถูกแทนที่ด้วยฟุตบอลสมัยใหม่อย่างทีมชั้นนำทีมอื่น ๆ

(2) เฮียโปน

การต้องการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ทำให้บอร์ดบริหารของลิเวอร์พูลได้ตัดสินใจเลือก เชร์ราร์ด์ อุลลิเยร์ หรือที่เดอะค็อปส์ต่างเรียกเขาว่า ” Doctor Who “? ตามการออกเสียงชื่อเขาแบบอังกฤษและตามวุฒิปริญญาเอกการกีฬาฟุตบอลของเขา
เมื่อบอร์ดตัดสินใจให้เฮียโปนได้เข้ามาร่วมงานกับป๋า หลายคนเืชื่อว่าลิเวอร์พูลน่าจะไปได้ดี เพราะสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว แต่เอาเข้าจริง ๆ ทั้งคู่ต่างมีปรัชญาทำทีมต่างกัน ในขณะที่ป๋ารอยเน้นเกมส์บุกอย่างตะบี้ตะบัน แต่ด๊อก (ด๊อกเตอร์ ) แกกลับให้ทีมเล่นรัดกุมแบบสุด ๆ เพื่อเน้นผลการแข่งขันไว้ก่อนผลงานของทีมจึงออกมาได้ไม่ดีมากนัก

ช่วงนั้นถ้าใครดูการเล่นของลิเวอร์พูลก็คงพูดอะไรไม่ค่อยออก มันดูอึดอัดจริง ๆ เหมือนคนปวดขี้ฉิ… หาย แต่กลับขี้ไม่ออก ในขณะที่ป๋ารอยตะโกนสั่งบุกเต็มที่ ด๊อกแกกลับให้คุมโซนตั้งรับเหนียวแน่นและทำลายเกมส์คู่แข่ง การเล่นของลิเวอร์พูลช่วงนี้จึงเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ท้ายที่สุดสโมสรก็รู้ดีว่าต้องมีใครคนหนึ่งต้องไป และเป็นป๋ารอยที่ได้หลีกทางให้กับด๊อกได้ขึ้นมากุมชะตาทีมแบบเต็มตัวเพื่อนำลิเวอร์พูลเข้าสู่ฟุตบอลยุคใหม่ตามสโมสรอื่น ๆ

หลังจากที่ด๊อกเตอร์ฮูเข้ามาคุมทีมไม่นาน ก็จัดระบบทีมให้เน้นเกมส์ที่แน่นอนมากจนคนดูสงสัยว่านี่คือลิเวอร์พูลจริงหรือ เพราะัทุกเกมส์ล้วนบีบหัวใจ ไม่ว่าจะเจอทีมไหนลิเวอร์พูลก็ไม่ชนะหรือแพ้ได้ง่าย ๆ ยากที่จะคาดเดาผลการแข่งขัน ( ใครได้ดูเส้นทางในการคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพของเฮียกับลิเวอร์พูลต้องบอกได้เลยว่า ” ลุ้นกันขี้แตกขี้แตน” จริง ๆ ครับ
ความบีบคั้นและความเครียดนี้สังเกตได้จากดวงตาที่โปนออกมานอกเบ้าของเฮียแก เมื่อความเครียดมันสะสมนานเข้าแกต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ? ( ไม่รู้เป็นประเพณีหรือเปล่า ที่ ผจก. ทีมลิเวอร์พูลต้องเข้าผ่าตัด ตอนนี้ราฟาก็เพิ่งผ่าตัดนิ่วมา )
คุณครับ ผมและสาวกหงส์แดงทั่วโลกก็เครียดกันแทบเป็นบ้าเหมือนกันครับ ตอนนั้นผมอยากตะโกนออกมาจริง ๆ ครับว่า ” นี่มันฟุตบอลนะโว้ย!! ทำไมต้องทำเครียดถึงขนาดนี้ ? “
แต่แล้วกองเชียร์หงส์แดงโชคดีไม่ต้องเครียดนาน หลังจากการเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ “เชราร์ด์ อุลลิยร์” ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ เรียกได้ว่า “หมดสภาพ” จนเรารู้เลยว่าสภาพเฮียแกตอนนั้นมัน ” ชรา เหลาเหย่ “
ทั้งหมดนี้คือตำนานทีมลิเวอร์พูลอีกบทหนึ่งที่ผมอยากจะนำเสนอ ทุกคนทราบดีว่าลิเวอร์พูลเป็นทีมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเก่าแก่ทีมหนึ่ง เราได้รับรู้ตำนานหลายบทจากนักเตะ ผู้จัดการทีม โค้ช? หรือแม้กระทั่งแฟนบอล? สิ่งหนึ่งที่เราควรระลึกไว้คือ บนโลกนี้มีตำนานมากมายและไม่ได้มีเพียงเฉพาะตำนานของผู้ชนะฝ่ายเดียว บางครั้งคนอ่อนแอแต่ต่อสู้อย่างอดทนและมีสปิริตก็เป็นตำนานได้เช่นกัน
ผมคิดว่าทุกอณูของสโมสรที่เรารัก ก็เหมือนกันกับทุกสิ่งของคนที่เรารัก ล้วนมีความหมายทั้งหมด แน่นอนผมกล้าที่จะบอกว่าผมรักตำนานที่ผมได้กล่าวถึงมาทั้งหมด แม้ว่าพวกเขาจะประสบผลสำเร็จในชีวิตค้าแข้งกับลิเวอร์พูลหรือไม่ก็ตาม และผมจะจดจำพวกเขาต่อไป มากกว่าที่จะได้รับความสำเร็จมากมายแต่ไม่มีค่าอะไรที่จะจดจำ
แล้วคุณล่ะครับ……??? มีตำนานที่อยากจะเล่าสู่กันฟังไหม
ที่มา ball.in.th/england/liverpool

ลิเวอร์พูลในตำนาน

หากจะกล่าวถึงกีฬาที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันแล้ว ฟุตบอลจัดเป็นชนิดกีฬาที่มีแฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุดในโลก ดังปรากฎการณ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลในทุกระดับ ตั้งแต่ฟุตบอลนักเรียน ฟุตบอลลีกภายในประเทศ ไปจนถึงการแข่งขันฟุตบอลระดับชาติ ระดับทวีปหรือระดับโลก ผู้คนต่างคลั่งไคล้ฟุตบอลกันชนิด “เข้าเส้น” ( soccer is my life ) และได้ติดตามเชียร์ทีมโปรดของตนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม
สำหรับผมแล้ว “ลิเวอร์พูล”? คือ ทีมที่ผมติดตามเชียร์เสมอมา มันไม่ใช่เพราะในปีที่ผมเกิด ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปหรือลิเวอร์พูลมีตำนานนักเตะมากมายที่ทำให้ผมชอบลิเวอร์พูล มันอธิบายได้ยากว่าทำไมคน? ๆ หนึ่ง จะชื่นชอบทีมใดทีมหนึ่งอย่างจริงจัง แต่ผมอยากจะบอกว่าเมื่อผมได้ดูการเล่นของลิเวอร์พูลแล้วผมหลงรักมัน… รักจิตวิญญาณความเป็นลิเวอร์พูล เหมือนที่เราตกหลุมรักผู้หญิงสักคนนั้นแหละครับ
ผมเชื่อว่าเคยมีบทความที่กล่าวถึงทีมลิเวอร์พูลมากมายอยู่แล้ว ซึ่งคงไม่มีประโยชน์อะไรมากนักที่ผมจะกล่าวถึงแง่มุมเหล่านั้นซ้ำอีก คุณครับ! วันนี้ผมอยากจะเสนอลิเวอร์พูลในบางมุม-บางช่วง ที่ลิเวอร์พูลห่างหายจากการคว้าแชมป์ลีกในประเทศอังกฤษ ซึ่งมันทำให้เราไม่มีโอกาสเห็นลิเวอร์พูลในเวทีใหญ่ของยุโรป ซึ่งเป็นช่วงขาลงของทีมจนแฟนบอลลิเวอร์พูลอาจไม่อยากกล่าวถึงมันมากนัก
เอาละครับ ผมจะเข้าเรื่องสักที….
ลิเวอร์พูลในยุคทศวรรษปี 90? ถึงยุคก่อนราฟาเอล เบนิเตส เข้ามาคุมทีม คือ ลิเวอร์พูลยุคที่ผมกำลังเขียนถึง และสำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลที่เคยติดตามผลงานของทีมในช่วงนั้นแล้ว ก็คงไม่มีใครลืมภาพของผู้จัดการทีมอย่าง ป๋ารอย ( รอย อีแวนส์ ) หรือเฮียโปน ( เชราร์ด อุลลิเยร์ ) และบรรดานักเตะที่พาเหรดเข้ามาสร้างความครื้นเครงให้สโมสรแถบเมอร์ซีย์ไซด์แห่งนี้ลงได้หรอกครับ
คุณบางคนอาจกำลังคิดว่าต่อไปผมต้องเขียนถึงบรรดานักเตะอย่าง รอบบี้ ฟาวเลอร์ , ไมเคิล โอเวน , สตีฟ แมคมานามาน , เจมี คาร์ราเกอร์ หรือ สตีเวน เจอร์ราด แน่ ๆ …. โน้ โน้ โน… ใครที่คิดแบบนั้นกำลังเข้าใจผิดอย่างแรงเลยครับ เพราะสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนคือ “ลิเวอร์พูลในตำนาน” ในมุมที่ยังไม่มีใครเขียนถึงยังไงล่ะครับ
ทีมลิเวอร์พูลในตำนานของผมนั้น มีนักเตะและผู้จัดการทีมดังนี้ครับ…..

1. ผู้รักษาประตู : เดวิด เจมส์
เขาคือเบอร์ 1? ในทีมชาติอังกฤษยุคปัจจุบัน แต่ถ้ายุคนั้นละก็….. บรึ๋ยส์…… เป็นยุคที่พี่เจมส์เขาชอบทานแต่ข้าวมันไก่ ไม่ชอบทานข้าวเหนียวนึ่ง ฟอร์มการเล่นของพี่ท่านจึงห่างไกลจากฟอร์มเหนียวหนึบ แต่กลับมีอาการ “วืด” และ “จั่วลม”? บ่อยครั้งที่ออกมาตัดลูกกลางอากาศ เป็นผลให้เดอะคอปส์ขนลุกซู่ทุกครั้ง ถ้าใครเคยเล่นเกมส์ CM? ( Champion Manager ) ในยุคนั้นแล้วเลือกคุมทีม Liverpool ก็คงจะตื่นเต้นกับตัวอักษรวิ่งขึ้นมา? But James…. บ่อยครั้ง แน่นอนครับ หวังว่าอาการเฟอะฟะของพี่แกตอนนี้คงจะดีขึ้นแล้วนา ผมยังเชียร์อังกฤษอยู่นะครับ

2. แบ็คขวา : บียอน ทอเร่ ควาร์เม่
ฟูลแบ๊คนำเข้า ชาวนอร์วีเจี้ยนผู้นี้ เป็นสูตรสำเร็จแห่งความครื้นเครงของแบ็คโฟร์ในตำนานของผมครับ การที่ลิเวอร์พูลได้พี่แกมายืนตำแหน่งนี้แทน เจสัน แมคเคเทียร์ ทำให้ความอบอุ่นในใจของผมลดลงทุกครั้ง เมื่อพี่ท่านต้องเจอกับ โรแบร์ ปิเรส ( Arsenal ) หรือ ไรอัน กิ๊กส์ ( Man U )? ใครเคยดู ” There will be blood ” ก็คงทราบว่า เมื่อเจอ ” บ่อน้ำมัน ” เขาจะทำกันอย่างไรครับ

3. แบ็คซ้าย : ฟิล บาบ์ปส์
ที่จริงตำแหน่งของพี่เขาคือ เซ็นเตอร์แบ็ค ( ปราการหลังตัวกลาง ) ครับ แต่บางทีป๋ารอย จับพี่เขามาเล่นตำแหน่งนี้ถือว่าสุดยอดครับ เพราะพี่บ๊าบเขามักจะได้คะแนนการจ่ายบอลให้ทำประตู ( Asist ) เสมอ แต่เป็นการจ่ายให้ผู้เล่นทีมตรงกันข้ามหลุดเข้าไปดวลกับเจมส์ นายทวารอมตะของเราไงละครับ บาบ์ปส์จึงเหมือนเป็นกองหน้าตัวที่สามให้กับอีกทีม อย่างนี้พี่แก็สมควรจะได้เงินค่าเหนื่อยจากทีมคู่แข่งสิ ใช่ไหมครับคุณ ?

4. ปราการหลังตัวกลาง : ริโกแบร์ ซง
” The ฉ่าง ” ถือเป็นนักเตะอีกคนที่มีโอกาสเข้ามารับใช้ลิเวอร์พูลในยุค ” คนคู่หงส์ ” เขาถูกขุดมาจากทีม Salernitana ใน Italy ด้วยลีลาการเข้าบอลที่โฉ่งฉ่างและถูกสับขาหลอกเป็นประจำ ไม่น่าแปลกใจที่กลายมาเป็น ” ตัวฮา ” ที่สาวกหงส์ โดนกองเชียร์คู่อริแซวอยู่บอ่ย ๆ ไม่น่าแปลกใจที่กัปตันทีมชาติแคเมอรูนถูกตั้งคำถามว่า ทำไมระยะหลังทีมหมอผีจึงไม่ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ แม้จะมีกองหน้าระดับโลกอย่าง ซามูเอล เอโต อยู่ในทีมก็ตาม

5. ปราการหลังตัวกลาง ฌิมี่ ตราโอเร่
” ไอ้นกกระยางดำ “? คือ ฉายาที่ผมและเพื่อน ๆ ตั้งให้เขา นั้นอาจเป็นเพราะรูปร่างและแข้งขาที่สูงยาวและผอมของเขาก็เป็นได้ เขาเข้ามาร่วมทีมลิเวอร์พูล ด้วยการชักนำของเฮียโปน?แถมเฮียยังโชว์วิสัยทัศน์บอกว่า ฌิมี่ต้องได้เป็นนักเตะระดับโลกแน่นอน แต่จนบัดนี้ผมยังสงสัยอยู่เลยครับว่า เจ้านกกระยางดำของผมบินไปอยู่โลกไหนแล้ว ( เอาน่า อย่างน้อยในชีวิต ฌิมี่ ก็ยังได้ชูเจ้าบิ๊กเอียร์ กับเขาสักครั้งได้เหมือนกัน )

6. กองกลางตรงกลาง : ซาลิฟ ดิเยา
แจ้งเกิดกับทีมชาติเซเนกัลในฟุตบอลโลก 2002? จึงถูกเฮียโปนดึงตัวมาร่วมทีมด้วยความหวังว่าเขาจะมาอุดรูรั่วในแดนกลางตามสไตล์มิดฟิลด์พันธุ์ดุ

7. ปีกซ้าย : แฮร์รี่ คีเวลล์
พ่อมดแฮร์รี่เคยร่ายมนต์ลูกหนังสะกดแฟนบอลสมัยค้าแข้งอยู่กับลีดส์ยูไนเต็ด แต่หลังจากที่ลีดส์แพแตก แฮร์รี่ได้้ย้ายเข้ามาเล่นในแอนฟิลด์ แต่มนต์ของพ่อมดแฮร์รี่นั้นกลับไม่ขลังอีกต่อไป หลังเจออาการบาดเจ็บ และเมื่อกลับมาเล่นอีกครั้งก็พกอาการ ” แหยงตีน ” กลับลงสนามมาด้วย การขาดความมั่นใจอย่างแรง ทำให้ฟอร์มการเล่นของพ่อมด ตกต่ำเหมือนกลายเป็นนักเตะดาด ๆ คนหนึ่ง ( ที่เพียงแต่รับค่าเหนื่อยแพงเท่านั้น ) แอนฟิลด์จึงเหมือนเป็นสุสานฝังนักเตะเช่นแฮร์รี่ ขณะที่แมนยู ฯ ได้นักเตะจากลีดส์ไปก่อนแล้วคนหนึ่งชื่อ ริโอ เฟอร์ดินานด์

8. ปีกขวา? : เอล ฮัดจิ ดิยุฟ
เพล์เมกเกอร์หน้าตาเหมือนปวดขี้ทีมชาติเซเนกัลรายนี้ เคยเป็นเจ้าของตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกา เฮียโปนจึงจัดเข้ามาร่วมทีมพร้อมกับดิเยา มาเป็นคู่ขวัญความหวังใหม่ให้ลิเวอร์พูล แต่คู่ดูโอเซเนกัลกลับไม่ได้มีผลงานที่ซาบซ่านซู่ซ่าน่าติดตามเหมือนกับคู่น้องโฟร์-มด แม้แต่น้อย โดยเฉพาะตัวดิยุฟเองที่เดอะคอปส์ฝากความหวังไว้มากหลังจากหมดยุคของแม๊คมานามาน กลับทำได้เพียงมาวิ่งไล่บอลทางกราบขวาและไม่ได้สร้างสรรค์เกมส์เหมือนอย่างนักเตะระดับเทพควรจะเป็นได้เลย ลิเ้วอร์พูลจึงเหมือนถูกหลอกให้ซื้อของที่ย้อมแมว ( ดำ ๆ ) ขาย จนต้องโล๊ะเขาให้ไปได้ดีกับทีมจอมเซ้งอย่างโบลตันในที่สุด


9. กองหน้า : คาร์ลไฮนซ์ รีดเล่


เจ้าของฉายา ” ฉลามล้อคลื่น” ที่ลิเวอร์พูลเซ้งเข้ามาร่วมทีมในขณะที่เขาย่างเข้าวัย 32 ปี ต้องยอมรับกันจริง ๆ ว่า กองหน้าชาวเยอรมันผู้นี้ผ่านจุดสูงสุดของการเล่นฟุตบอลไปแล้ว ( แถมยังเหมือนหมดไฟที่จะประสบความสำเร็จอีกต่างหาก ) แม้ลิเวอร์พูลจะหวังว่าประสบการณ์ของเขาจะมาประคองทีมไว้ได้บ้าง แต่ความเชื่องช้าที่เหมือนมีกระโปกยักษ์มาขวางท่อนขาเอาไว้ หรือความหนักหนาสาหัสของมันที่ทำให้เขากระโดดโหม่งไม่ขึ้นก็สุดจะพรรณาได้ มันได้สร้างคามเบาหวิวอันเหลือทนให้กับเดอะค็อปส์ทั่วโลก คนคู่หงส์ต้องรีบผ่าตัดทีมใหม่หรือไม่ก็รีบผ่าตัดเอา ” ไอ้นั่นออกไปเสียที เพราะทุกคนไม่อาจต้องทนเห็นภาพของ ” ควายล้อคลื่น ” ได้อีกจริง ๆ

10. กองหน้าัตัวรับ : อีมิล เฮสกีย์
อย่าเพิ่งงงกับตำแหน่งการเล่นของกองหน้าคนนี้นะครับ ตำแหน่งกองหน้าตัวรับมีจริง ๆ ครับ เพราะในสมัยเฮียโปนคุมทีมแกได้รังสรรค์ตำแหน่งนี้ขึ้นมาเพื่ออีมิลโดยเฉพาะ เรียกได้ว่า ” โอ้ ลอร่า… เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ “
กองหน้าผู้มีใบหน้าละม้ายกับนักโทษผู้มีพลังวิเศษในเรื่อง The Green Miles รายนี้ ได้สร้างความอึดอัดชนิดลุ้นกันขี้แทบแตกให้กับสาวกหงส์ อีมิลมีช่วงเวลาที่ไม่สามารถทำประตูได้นับสิบนัด แต่นั่นอาจเป็นธรรมชาติของคนที่เกิดมาเพื่อรับบทกองหน้าตัวรับก็ได้ ยังไงเขาก็ได้ซ้อมเกมรับของทีมจนรอดพ้นการเสียประตูอยู่หลายครั้ง เดอะค็อปส์ส่วนใหญ่จึงให้อภัยและไม่มีวันลืมเลือนเขา และบางทีในฤดูกาลหน้า เราอาจเห็นเขากลับมาสวมเสื้อสีแดงเพลิงอีกก็เป็นได้…?? จึ๋ยส์

11. กองหน้า? : อีริค ไมเยอร์
ถือเป็นกองหน้าอีกรายที่เข้ามาโลดแล่นสร้างสีสันในแอนฟิลด์พร้อมกับคาร์ลไฮนซ์ รีดเล่ เป็นที่ทราบกันดีว่าในขณะนั้นกองหน้าดัตซ์รายนี้ คือดาวซัลโวอันดับต้น ๆ ในเวทีบุนเดสลีกา ผมไม่ทราบว่ามันไปเข้าตาของคนคู่หงส์ตอนไหน แต่บางทีลึก ๆ แล้วพวกเขาอาจคาดหมายว่า ” อีริค” สามารถทาบชั้นกับอีกอีริค ( Eric? “The King”? Cantona ) ของอีกค่ายก็เป็นได้ แต่ที่นี่คือพรีเมียร์ลีคอังกฤษ ลีคที่สร้างบททดสอบว่าผู้อยู่รอดเท่านั้นคือ ” ของจริง ” และอีริค ไมเยอร์ คือคนที่ไม่อาจผ่านบททดสอบนั้นได้ เขาถูกจับ ” ดอง ” เป็นศูนย์หน้าม้ายาวอยู่นานมาก แต่เมื่อได้รับโอกาสแสดงฝีเท้า เขาเหมือนกลายเป็นตัีวอะไรที่มาเล็มหญ้าบนสนามแอนฟิลด์-เหมือนเด็กอ่อนหัดที่เพิ่งหัดเล่นฟุตบอลใหม่ ๆ จนผมเชื่อว่าเดอะค็อปท์ในสนามอยากจะขอเปลี่ยนตัวเขาแล้วลงไปเตะเองเสียก่อนที่เมื่อเกมส์จบแล้ว ” ขี้ ” จะเกลื่อนสนาม?????? นั่นแหละครับ??? เขา …………?? Eric ” The Kway”
ที่มา http://www.herothailand.com/blog/archives/43